ดอกทานตะวัน

เป็นพืชน้ำมันที่มีความสำคัญพืชหนึ่ง น้ำมันที่ได้จากการสกัดจากเมล็ดทานตะวันจะมีคุณภาพสูง ที่ประกอบด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว เช่น กรดลิโนเลนิค หรือกรดลิโนเลอิค ที่จะช่วยลดโคเลสเตอร์รอลที่เป็นสาเหตุของโรคไขมัน อุดตันในเส้นเลือด นอกจากนี้น้ำมันจากทานตะวันยังประกอบด้วยวิตามิน เอ ดี อี และเคด้วย ผลผลิตส่วนใหญ่อยู่ในเขตอบอุ่น เช่น สหภาพโซเวียต อาร์เจนตินา และประเทศในแถบยุโรปตะวันออก สำหรับประเทศไทย ได้มีการส่งเสริมให้มีการปลูกทานตะวันเป็นอาชีพเสริมมากขึ้น เพื่อเพิ่มผลผลิตให้เพียงพอกับอุตสาหกรรมพืชน้ำมัน และความต้องการของผู้บริโภค ทั้งนี้ เพราะทานตะวันเป็นพืชที่มีอายุสั้นระบบรากลึก มีความทนทานต่อสภาพแห้งแล้งได้ดีกว่าพืชอื่น ๆ แหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่ จังหวัดลพบุรี เพชรบูรณ์ และสระบุรี

ทานตะวันเป็นพืชที่มีการปรับตัวเข้ากับสภาพของเขตร้อนได้ดีพอสมควรไม่ไวต่อแสง สามารถออกดอกให้ผลได้ทุกสภาพช่วงแสง ปลูกได้ในบริเวณที่มีการปลูกข้าวโพด ข้าวฟ่าง เมื่อทานตะวันตั้งตัวได้แล้ว จะมีความทนทานต่อสภาพแห้งและร้อนได้พอสมควร และจะเริ่มเติบโตทันทีเมื่อมีฝน นอกจากนี้ทานตะวันยังมีความทนทานต่อสภาพอากาศเย็นจัดได้ดีกว่าข้าวโพด ข้าวฟ่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นกล้า ทานตะวันขึ้นได้กับดินหลายประเภท แต่จะขึ้นได้ดีในสภาพดินที่มีผิวดินหนาและอุ้มความชื้นไว้ได้ดี สามารถทนต่อสภาพความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ตลอดจนสภาพดินเกลือและเป็นด่างจัดได้พอสมควร ซึ่งดินเหล่านี้จะมีอยู่เป็นจำนวนมากในเขตแห้งแล้งทั่ว ๆ ไป

       

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

     ทานตะวันเป็นพืชในตระกูลเดียวกันกับเบญจมาส คำฝอย ดาวเรือง เป็นพืชล้มลุกที่มีปลูกกันมากในเขตอบอุ่น การที่มีชื่อเรียกว่า “ทานตะวัน” เพราะลักษณะการหันของช่อดอกและใบจะหันไปทางทิศของดวงอาทิตย์ คือ หันไปทางทิศตะวันออกในตอนเช้า และทิศตะวันตกในตอนเย็น แต่การหันจะลดน้อยลงเรื่อย ๆ หลังจากมีการผสมเกสรแล้วไปจนกระทั่งถึงช่วงดอกแก่ ซึ่งช่อดอกจะหันไปทิศตะวันออกเสมอ
ราก เป็นระบบรากแก้วหยั่งลึกลงไปประมาณ 150-270 เซนติเมตร มีรากแขนงค่อนข้างแข็งแรงแผ่ขยายไปด้านข้างได้ยาวถึง 60-150 เซนติเมตร เพื่อช่วยค้ำจุนลำต้นได้ดี และสามารถใช้ความชื้นระดับผิวดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลำต้น ส่วนใหญ่ไม่มีแขนง แต่บางพันธุ์มีการแตกแขนง ขนาดของลำต้น ความสูง การแตกแขนงขึ้นอยู่กับพันธุ์และสภาพแวดล้อม ความสูงของต้นอยู่ระหว่าง 1-10 เซนติเมตร การโค้งของลำต้นตรงส่วนที่เป็นก้านช่อดอกมีหลายแบบ แบบที่ต้องการคือแบบที่ ส่วนโค้งตรงก้านช่อดอกคิดเป็นร้อยละ 15 ของความสูงของลำต้น พันธุ์ที่มีการแตกแขนง อาจมีความยาวของแขนงสูงกว่าลำต้นหลักแขนงอาจแตกมาจากส่วนโคนหรือยอด หรือตลอดลำต้นก็ได้
ใบ เป็นใบเดี่ยวเกิดตรงกันข้าม หลังจากที่มีใบเกิดแบบตรงกันข้ามอยู่ 5 คู่แล้ว ใบที่เกิดหลังจากนั้นจะมีลักษณะวน จำนวนใบบนต้นอาจมีตั้งแต่ 8-70 ใบ รูปร่างของใบแตกต่างกันตามพันธุ์ สีของใบอาจมีตั้งแต่เขียวอ่อน เขียว และเขียวเข้ม ใบที่เกิดออกมาจากตายอดใหม่ ๆ ก้านใบจะอยู่ในแนวตั้งจนกระทั้งใบมีความยาว 1 เซนติเมตร ปลายยอดจะค่อย ๆ โค้งลงจนเมื่อใบแก่แล้วก็จะโค้งลงมาเป็นรูปตัวยู (U) การสร้างใบจะมีมากจนกระทั่งดอกบาน หลังจากนั้นการสร้างใบจะลดน้อยลง
ดอก เป็นรูปจาน เกิดอยู่บนตายอดของลำต้นหลัก หรือแขนงลำต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลางของดอกอยู่ระหว่าง 6-37 เซนติเมตร ซึ่งขึ้นกับพันธุ์และสภาพแวดล้อม ดอกมีลักษณะเป็นแบบช่อดอก ประกอบด้วยดอกย่อยเป็นจำนวนมาก ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
1. ดอกย่อยที่อยู่รอบนอกจานดอก เป็นดอกที่ไม่มีเพศ (เป็นหมัน) มีกลับดอกสีเหลืองส้ม
2. ดอกย่อยที่อยู่ในจานดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศ มีเกสรตัวผู้ที่พร้อมจะผสมได้ก่อนเกสรตัวเมีย และสายพันธุ์ผสมเปิดส่วนใหญ่ผสมตัวเองน้อยมาก
ในแต่ละจานดอกจะมีดอกย่อยอยู่ประมาณ 700-3,000 ดอก ในพันธุ์ที่ให้น้ำมัน ส่วนพันธุ์อื่น ๆ อาจมีดอกย่อยถึง 8,000 ดอก การบานหรือการแก่ของดอกจะเริ่มจากวงรอบนอกเข้าไปสู่ศูนย์กลางของดอก ดอกบนกิ่งแขนงจะมีขนาดเล็ก แต่ถ้าเป็นแขนงที่แตกออกมาตอนแรก ๆ ดอกจะมีขนาดใหญ่เกือบเท่ากับดอกบนลำต้นหลัก ส่วนใหญ่พันธุ์ที่ปลูกเป็นการค้า มักจะเลือกต้นชนิดที่มีดอกเดี่ยว เพื่อความสมบูรณ์ของดอก และให้เมล็ดที่มีคุณภาพดี
เมล็ด (หรือผล) ประกอบด้วยเนื้อใน ซึ่งถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเปลือกที่แข็งแรง เมื่อผลสุกส่วนของดอกที่อยู่เหนือรังไข่จะร่วง ผลที่มีขนาดใหญ่จะอยู่วงรอบนอก ส่วนผลที่อยู่ข้างในใกล้ ๆ กึ่งกลางจะมีผลเล็กลง
เมล็ดทานตะวัน แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ คือ
1. เมล็ดใช้สกัดน้ำมัน จะมีเมล็ดเล็ก สีดำ เปลือกเมล็ดบางให้น้ำมันมาก
2. เมล็ดใช้รับประทาน จะมีเมล็ดโตกว่าพวกแรก เปลือกหนาไม่ติดกับเนื้อในเมล็ด เพื่อสะดวกในการกะเทาะแล้วใช้เนื้อในรับประทาน โดยอบหรือปรุงแต่งขนมหวาน หรือทำเป็นแป้งประกอบอาหาร หรือใช้เมล็ดคั่วกับเกลือแล้วแทะเปลือกออกรับประทานเนื้อข้างในเป็นอาหารว่างเช่นเดียวกับเมล็ดแตงโม
3. เมล็ดใช้เลี้ยงนก ใช้เมล็ดเป็นอาหารเลี้ยงนก หรือไก่โดยตรง 
 
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ทานตะวันชอบอากาศอบอุ่นในเวลากลางวันและอากาศเย็นในเวลากลางคืน อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ อยู่ระหว่าง 18-25 องศาเซลเซียส สภาพความเป็นกรด-ด่าง ของดินประมาณ 5.7-8 สามารถขึ้นได้ในดินแทบทุกประเภท แต่ที่ขึ้นได้ดีคือดินที่มีหน้าดินลึกที่อุ้มน้ำได้ดี แต่ไม่ชอบน้ำขังและไม่ชอบดินที่มีลักษณะเป็นกรด หากดินที่ปลูกมีความชื้นต่ำ ผลผลิตของเมล็ดจะต่ำลงมาก 
 

พันธุ์ทานตะวัน

ทานตะวันมี 3 สายพันธุ์ พันธุ์ผสมเปิด ซึ่งเป็นพันธุ์เดิมที่ใช้ปลูก ซึ่งในดอกจะมีจำนวนเรณูที่ติดอยู่ที่ก้านชูเกสรตัวเมียน้อย ทำให้การติดเมล็ดด้วยการผสมตัวเองต่ำ ต้องอาศัยแมลงช่วยในการผสมเกสร จึงจะทำให้ติดเมล็ด การปลูกจึงไม่ประสบผลสำเร็จเพราะได้เมล็ดลีบ ผลผลิตต่ำเนื่องจากไม่ค่อยมีแมลงช่วยผสมเกสร แต่ปัจจุบันมีพันธุ์ลูกผสมสามารถติดเมล็ดได้ดี โดยไม่ต้องอาศัยแมลงช่วยผสมเกสร เพราะในดอกมีละอองเรณูที่ติดอยู่ก้านชูเกสรตัวเมียมากกว่าพันธุ์ผสมเปิด 3-4 เท่า จึงทำให้การติดเมล็ดด้วยการผสมตัวเองดีกว่าสายพันธุ์ผสมเปิด
ปัจจุบันยังไม่มีการผลิตเมล็ดทานตะวันลูกผสมในประเทศไทย ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ได้แก่ พันธุ์ไฮซัน 33 และพันธุ์เอส 101 ซึ่งมีลักษณะของจานดอกค่อนข้างใหญ่ กลีบดอกสีเหลืองสดใส และให้ปริมาณน้ำมันสูง
สายพันธุ์สังเคราะห์ซึ่งยังไม่มีการส่งเสริมในปัจจุบัน แต่ในขณะนี้อยู่ระหว่งการวิจัยของหน่วยงานวิจัย
สำหรับทานตะวันที่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกในขณะนี้คือสายพันธุ์ลูกผสม
ลักษณะดีเด่นของพันธุ์ลูกผสม ได้แก่
1. ผลผลิต เฉลี่ย 254.82 กิโลกรัมต่อไร่
2. การติดเมล็ด เฉลี่ยร้อยละ 76.3
3. เส้นผ่าศูนย์กลาง เฉลี่ย 15.4 เซนติเมตรของจานดอก
4. ความสูงของต้น เฉลี่ย 168.9 เซนติเมตร
5. อายุเก็บเกี่ยว เฉลี่ย 90-100 วัน
6. ปริมาณน้ำมัน เฉลี่ยร้อยละ 48 ที่มา
1-4 การเปรียบเทียบพันธุ์ทานตะวันในท้องถิ่น จำนวน 5 พันธุ์ ฤดูแล้ง ปี 2529 ศูนย์วิจัยพืชไร่เชียงใหม่
5-6 บริษัทแปซิฟิค เมล็ดพันธุ์ จำกัด
ลักษณะที่ดีของพันธุ์ลูกผสม คือ สามารถผสมเกสรภายในดอกเดียวกันได้สูง การติดเมล็ดค่อนข้างดี การหาผึ้งหรือแมลงช่วยผสมเกสรจึงไม่จำเป็นมากนัก แต่ถ้ามีแมลงช่วยผสมก็มีลักษณะประจำพันธุ์ที่มีผลต่อการดึงดูดแมลง เช่น กลีบดอกสีสดใส กลิ่นของเรณู ปริมาณและคุณภาพของน้ำหวานก็ดีกว่าพันธุ์ผสมเปิด ทนทานต่อการโค้นล้มและต้านทานต่อโรคราสนิม
 
ฤดูปลูกทานตะวัน 
ทานตะวันเป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้ในทุกฤดูกาล เพราะเป็นพืชที่ไม่ไวต่อช่วงแสง อย่างไรก็ตามการปลูกในบางท้องที่อาจไม่มีความเหมาะสม เช่น ในที่ลุ่มภาคกลาง ในฤดูฝนจะมีน้ำขังแฉะเกินไป หรือที่ดินในฤดูแล้งที่ไม่มีน้ำชลประทาน ดังนั้นฤดูที่เหมาะสมที่สุดมี 2 ฤดูคือ
1. ปลายฤดูฝน ในสภาพพื้นที่ที่เป็นดินร่วนเหนียว ควรปลูกทานตะวันในปลายฤดูฝน คือ ตั้งแต่เดือนกันยายน-พฤศจิกายน แต่ถ้าสภาพพื้นที่ที่ปลูกเป็นดินร่วนทราย ควรปลูกในเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงกลางฤดูฝน
2. ฤดูแล้ง ถ้าในแหล่งปลูกนั้นสามารถใช้น้ำจากชลประทานได้ก็สามารถปลูกเป็นพืชเสริมได้ โดยปลูกในช่วงเดือนพฤศจิกายน – กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว
เนื่องจากพันธุ์ลูกผสมนี้ ดอกค่อนข้างใหญ่ เวลาเมล็ดแก่จานดอกจะห้อยลงมาและด้านหลังของจานดอกจะมีลักษณะเป็นแอ่งเหมือนกระทะก้นแบน เมื่อฝนตกลงมาน้ำฝนจะขังในแอ่งดังกล่าว จะทำให้เกิดโรคเน่าได้มากและทำให้เมล็ดเน่าเสียหาย ดังนั้นจึงควรปลูกในปลายฤดูฝน หรือในฤดูแล้ง แลถ้ามีฝนตกน้ำขังในแอ่งของจานดอก ให้เขย่าต้นเพื่อทำให้น้ำไหลออกให้หมด

 
การเตรียมดิน  
การเตรียมดินก่อนปลูก ควรไถดินให้ลึกในระดับ 30 เซนติเมตรหรือลึกกว่านั้น เพราะว่าเมื่อฝนตกดินจะสามารถรับน้ำให้ซึมซับอยู่ในดินได้มากขึ้น การไถดินลึกจะช่วยทำลายการอัดแน่นของดินในชั้นไถพรวน ทำให้น้ำซึมลงในดินชั้นล่างได้มากขึ้น ควรกำจัดวัชพืชในแปลงให้สะอาด และไถย่อยดินครั้งสุดท้ายให้ร่วนซุย หากมีการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงไปพร้อมกับการย่อยดินครั้งสุดท้ายจะช่วยเสริมธาตุอาหารต่าง ๆ เพื่อให้พืชนำไปใช้ประโยชน์ 
 
การปลูก
หลังจากเตรียมดินเสร็จแล้ว ควรทำร่องสำหรับหยอดเมล็ดโดยให้แต่ละร่องห่างกัน 70-75 เซนติเมตร และให้หลุมปลูกในร่องห่างกัน 25-30 เซนติเมตร หยอดหลุมละ 2 เมล็ด แล้วกลบดินโดยให้เมล็ดอยู่ลึก 5-8 เซนติเมตร เมื่อพืชงอกได้ 10 วัน หรือมีใบจริง 2-4 คู่ให้ถอนแยกเหลือไว้เฉพาะต้นที่แข็งแรงเพียงหลุมละ 1 ต้น และถ้าหากดินมีความชื้นต่ำควรใช้ระยะปลูกกว้างขึ้น
การยกร่องนี้ เพื่อเป็นการสะดวกในการให้น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกในฤดูแล้งที่ต้องการน้ำมาก ส่วนการปลูกในฤดูฝน ถ้าเป็นดินที่มีการระบายน้ำดีก็ไม่จำเป็นต้องยกร่องและใช้ระยะปลูกเช่นเดียวกับยกร่อง
การปลูกวิธีนี้ ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ลูกผสมจำนวน 0.7 กิโลกรัมต่อไร่ และปลูกตามระยะที่แนะนำนี้จะได้จำนวนต้น 6,400-8,500 ต้นต่อไร่ 
 
การใส่ปุ๋ย 
ทานตะวันเป็นพืชที่ให้โปรตีน และแร่ธาตุสูง จึงควรใส่ปุ๋ยในปริมาณที่พืชต้องการตามสภาพดินที่ปลูกด้วยสำหรับปุ๋ยเคมีที่เหมาะสมที่แนะนำคือสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-8 อัตรา 30-50 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใส่รองพื้นพร้อมปลูกและใช้ปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 อัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อทานตะวันอายุได้ 30 วัน หรือมีใบจริง 6-7 คู่ ซึ่งเป็นระยะกำลังจะออกดอก หากมีการตรวจวิเคราะห์ดินก่อนปลูก จะช่วยให้การใช้ปุ๋ยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและในกรณีที่เป็นดินทรายและขาดธาตุโบรอน ควรใส่ผงโบแรกซ์ประมาณ 2 กิโลกรัมต่อไร่ จะทำให้เพิ่มผลผลิตได้มากและทำให้คุณภาพของเมล็ดทานตะวันดีขึ้น 
 
 
การให้น้ำทานตะวัน
น้ำเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการผลิตทานตะวัน หากความชื้นในดินมีน้อยก็จะทำให้ผลผลิตลดลงด้วย การให้น้ำที่เหมาะสมแก่ทานตะวันจึงจะทำให้ได้รับผลผลิตดีด้วย ดังนั้นการให้น้ำควรปฏิบัติดังนี้
ครั้งที่ 1 หลังจากปลูกเสร็จแล้วรีบให้น้ำทันที หรือควรทำการปลูกทันที หลังฝนตกเพื่อใช้ความชื้นในดินให้เต็มที่โดยไม่ต้องรดน้ำ
ครั้งที่ 2 ระยะมีใบจริง 2 คู่ หรือประมาณ 10-15 วัน หลังงอก
ครั้งที่ 3 ระยะเริ่มมีตาดอก หรือประมาณ 30-35 วัน หลังงอก
ครั้งที่ 4 ระยะดอกเริ่มบาน หรือประมาณ 50-55 วัน หลังงอก
ครั้งที่ 5 ระยะกำลังติดเมล็ด หรือประมาณ 60-70 วัน หลังงอก การให้น้ำควรให้น้ำอย่างเพียงพอให้ดินชุ่ม แต่ไม่ต้องถึงกับแฉะและน้ำขังการให้น้ำควรคำนึงถึงความชุ่มชื้นในดินด้วย ไม่ควรปล่อยให้ดินแห้งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงแรกของการเจริญเติบโตจนถึงระยะติดเมล็ด 
 
 
การกำจัดวัชพืช
ควรกำจัดวัชพืชอย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อทานตะวันมีใบจริง 2-4 คู่ ซึ่งการทำรุ่นครั้งแรกนี้ ทำพร้อมกับการถอนแยกต้นพืชให้เหลือ 1 ต้นต่อหลุม เป็นการสะดวกสำหรับเกษตรกรในการปฏิบัติ และครั้งที่สองทำพร้อมกับการใส่ปุ๋ยครั้งที่สอง เมื่อทานตะวันมีใบจริง 6-7 คู่ ทำรุ่นพร้อมกับใส่ปุ๋ยและพูนโคนต้นไปด้วย
ในแปลงที่มีปัญหาวัชพืชขึ้นรบกวน ควรทำการกำจัดวัชพืชเพื่อป้องกันการแย่งอาหารและความชื้นในดิน ตั้งแต่ต้นยังเล็กหรือใช้สารเคมีคุมกำเนิดหรือใช้สารเคมีคุมกำเนิดพวกอะลาคลอร์ หรือเมโธลาคลอร์ฉีดพ่นหลังหยอดเมล็ดก่อนที่จะงอกในอัตรา 300-400 ซีซี ผสมน้ำ 4 ปิ๊บ
สำหรับฉีดพ่นในเนื้อที่ปลูก 1 ไร่ โดยฉีดให้สม่ำเสมอกันสามารถคุมการเกิดวัชพืชได้นานถึง 2 เดือน และควรใช้แรงงานคน สัตว์ หรือเครื่องทุ่นแรง ทำรุ่นได้ตามความจำเป็น
ข้อควรระวังห้ามใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชอะทราซีนในทานตะวันโดยเด็ดขาด

การเก็บเกี่ยว

ทานตะวันจะมีอายุการเก็บเกี่ยวแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ที่ปลูก (พันธุ์ลูกผสม อายุเก็บเกี่ยว 90-100 วัน) วิธีการเก็บเกี่ยวนั้นให้สังเกตจากด้านหลังของจานดอกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซึ่งเป็นช่วงการสร้างน้ำมันในเมล็ดจะเริ่มลดลง และจะหยุดสร้างน้ำมันเมื่อจานดอกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลก็เริ่มเก็บเกี่ยวได้ หลังจากนั้นให้นำไปผึ่งแดดจัด ๆ 1-2 แดด โดยแขวนให้หัวห้อยลงและหมั่นกลับช่อดอก เพื่อให้ดอกแห้งอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเก็บเกี่ยวในช่วงที่ยังมีฝนชุกให้นำมาผึ่งในร่มหลาย ๆ วันจนแห้งสนิท แล้วจึงรวบรวมไปนวด อาจใช้แรงคนหรือสัตว์ หรือใช้เครื่องนวดเมล็ดถั่วเหลืองหรือถั่วลิสงก็ได้ เสร็จแล้วนำไปทำความสะอาดแล้วเก็บไว้ในยุ้งฉางที่ป้องกันแดด-ฝน และแมลงศัตรูได้ เพื่อรอจำหน่าย (ความชื้นของเมล็ดที่จะเก็บรักษาไว้ ควรไม่เกิน 10%) 
การให้ผลผลิต
การปลูกทานตะวันในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีการบำรุงรักษาดีจะให้ผลผลิตไม่ต่ำกว่า 300 กิโลกรัมต่อไร่ แต่โดยเฉลี่ยประมาณไม่ต่ำกว่า 200 กิโลกรัมต่อไร

ดอกกล้วยไม้ กล้วยไม้ไทยสวยๆ

ดอกกล้วยไม้ กล้วยไม้ไทยสวยๆ

กล้วยไม้ หรือ เอื้อง เป็นพืชดอกที่มีความหลากหลายมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง โดยมีประมาณ 880 สกุล และประมาณ 22,000 ชนิดที่มีการยอมรับ(อาจมากกว่า 25,000 ชนิด)[1] คิดเป็น 6–11% ของพืชมีเมล็ด[2] มีการค้นพบราวๆ 800 ชนิดทุกๆปี มีสกุลใหญ่ๆคือ Bulbophyllum (2,000 ชนิด), Epidendrum (1,500 ชนิด), Dendrobium (1,400 ชนิด) และ Pleurothallis (1,000 ชนิด) สายพันธุ์ของกล้วยไม้ที่ขึ้นและเติบโตในป่าเรียกว่า กล้วยไม้ป่า

กล้วยไม้จัดอยู่ในกลุ่มพืชใบเลี้ยงเดี่ยว อยู่ในวงศ์กล้วยไม้ มีลักษณะการเติบโตแบบต่างๆ ได้แก่

  • กล้วยไม้อากาศ คือ กล้วยไม้ที่เกาะอาศัยอยู่บนต้นไม้อื่น โดยมีรากเกาะอยู่กับกิ่งไม้หรือลำต้น
  • กล้วยไม้ดิน คือ กล้วยไม้ที่ขึ้นอยู่ตามพื้นดินที่ปกคลุมด้วยอินทรีย์วัตถุ
  • กล้วยไม้หิน คือ กล้วยไม้ที่ขึ้นตามโขดหิน

การจำแนกวงศ์ย่อยของกล้วยไม้

วงศ์ย่อยต่างๆ ของกล้วยไม้ ได้แก่

  • APOSTASIOIDEAE Rchb. f. เป็นกลุ่มไม้ที่เติบโตบนพื้นดินในป่า มี 2 สกุล คือ Apostasia และ Neuwiedia
  • CYPRIPEDIOIDEAE Lindley เป็นกลุ่มไม้ที่เกิดบนพื้นดิน โขดหิน และบนซากอินทรีย์วัตถุ มี 4 สกุล คือ CypripediumPaphiopedilum (สกุลรองเท้านารี) ,Phragmipedium และ Selenipedium
  • SPIRANTHOIDEAE Dressler ไม่พบกล้วยไม้ไทย และลูกผสมไทยที่เกิดในวงศ์ย่อยนี้
  • ORCHIDOIDEAE ไม่พบในไทย
  • EPIDENDROIDEAE วงศ์ย่อยนี้มีความหลากหลายด้านที่อยู่อาศัย และรูปร่างลักษณะ มีหลายสกุลในวงศ์นี้ที่พบ และนิยมปลูกในประเทศไทย ได้แก่ สกุล Vanilla สกุลต่างๆ ในกลุ่มแคทลียา สกุลหวาย และสกุลสิงโตกลอกตา
  • VANDOIDEAE Endlicher ได้แก่ กลุ่มแวนด้า

ดอกกล้วยไม้ กล้วยไม้ไทยสวยๆ

การกระจายพันธุ์

พืชในวงศ์กล้วยไม้นั้นสามารถพบได้ทั่วโลก มีถิ่นอาศัยในหลายๆภูมิประเทศยกเว้นทะเลทรายและธารน้ำแข็ง โดยส่วนมากจะพบในเขตร้อนของโลก คือเอเชีย,อเมริกาใต้ และอเมริกากลาง นอกจากนั้นยังพบเหนืออาร์กติก เซอร์เคิลในตอนใต้ของพาทาโกเนียและยังพบบนเกาะแมคควารี ซึ่งใกล้กับทวีปแอนตาร์กติกา

การกระจายพันธุ์โดยสังเขปมีดังนี้:

  • อเมริกาเขตร้อน: 250 – 270 สกุล
  • เอเชียเขตร้อน: 260 – 300 สกุล
  • แอฟริกาเขตร้อน: 230 – 270 สกุล
  • โอเชียเนีย: 50 – 70 สกุล
  • ยุโรปและเอเชียเขตอบอุ่น: 40 – 60 สกุล
  • อเมริกาเหนือ: 20 – 25 สกุล

อนุกรมวิธาน

ในระบบ APG II (2003) พืชวงศ์นี้ถูกจัดอยู่ในอันดับ Asparagales ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ห้าวงศ์ย่อยที่ได้รับการยอมรับ แผนภาพวิวัฒนาการชาติพันธุ์นี้แยกตามระบบของ APG :

Apostasioideae: 2 สกุล 16 ชนิด, เอเชียตะวันตกเฉียงใต้
Cypripedioideae: 5 สกุล 130 ชนิด, เขตอบอุ่นอย่างอเมริกาเขตร้อน และเอเชียเขตร้อน
 Monandrae
Vanilloideae: 15 สกุล 180 ชนิด, เขตร้อนชื้นและพื้นที่ใกล้เขตร้อน, ทางตะวันออกของอเมริกาเหนือ
Epidendroideae: มากกว่า 500 สกุล ประมาณ 20,000 ชนิด, พบทั่วโลก
Orchidoideae: 208 สกุล 3,630 ชนิด, พบทั่วโลก

กล้วยไม้

ประวัติกล้วยไม้

กล้วยไม้เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว ในวงศ์ Orchidaceae เป็นไม้ตัดดอกยอดนิยม เนื่องจากมีลักษณะดอกและสีสันลวดลายสวยงาม เป็นไม้ตัดดอกที่มีอายุการใช้งานได้นาน กล้วยไม้เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีความสำคัญของไทย เพราะเป็นไม้ส่งออกขายต่างประเทศทำรายได้เข้า ประเทศปีละหลายร้อยล้านบาท มีการปลูกเลี้ยงอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผสมเกสร เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เลี้ยงลูกกล้ายไม้ เลี้ยงต้นกล้ายไม้จน กระทั่งให้ดอก ตัดดอกบรรจุหีบห่อและส่งออกเอง

แหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าที่สำคัญของโลกมี 2 แหล่งใหญ่ๆ ด้วยกันคือ ลาตินอเมริกา กับเอเชียแปซิฟิค สำหรับในลาตินอเมริกาเป็น อาณาบริเวณอเมริกากลางติดต่อกับเขตเหนือของอเมริกาใต้ ส่วนแหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิค มีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง จากการค้นพบประเทศไทยมีพันธุ์กล้วยไม้ป่าเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการเจริญงอกงามของ กล้วยไม้มาก และกล้วยไม้ป่าที่ในพบในภูมิภาคแถบนี้มีลักษณะเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แตกต่างจากกล้วยไม้ในภูมิภาคลาตินอเมริกา

การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ในประเทศไทย จากการสำรวจในอดีตพบว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีกล้วยไม้อยู่ในป่าธรรมขาติ ไม่ต่ำกว่า 1,000 ชนิด ทั้งประเภทที่พบอยู่บนต้นไม้ บนพื้นผิวของภูเขาและบนพื้นดิน สรุปได้ว่าสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติของประเทศไทยเอื้ออำนวยแก่การเจริญงอกงาม ของกล้วยไม้เป็นอย่างมาก ในอดีตชาวชนบทของไทย โดยเฉพาะในแหล่งที่เคยมีกล้วยไม้ป่าอุดมสมบูรณ์ ได้นำกล้ายไม้ป่ามาปลูกเลี้ยงโดยเลียนแบบธรรมชาติ โดยนำกล้วยไม้มาปลูกไว้กับต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ไกล้ๆ บ้านเรือน การเลี้ยงกล้วยไม้เริ่มเปลี่ยนมาเป็นการปลูกเลี้ยงอย่างจริงจังโดยชาวตะวัน ตกผู้หนึ่ง ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย เห็นว่าสภาพแวดล้อมของประเทศไทยเหมาะสมสำหรับการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ จึงได้สร้างเรือนกล้วยไม้อย่างง่ายๆ และนำเอากล้วยไม้ป่าจากเขตร้อนของอเมริกา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าแหล่งใหญ่แหล่งหนึ่งของโลก ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากกล้วยไม้ในเอเชียและเอเซียแปซิฟิค โดยนำมาปลูกเลี้ยงเป็นงานอดิเรกในขณะเดียวกันก็มีเจ้านายชั้นสูงและบรรดา ข้าราชการที่ใกล้ชิด ให้ความสนใจเลี้ยงกล้วยไม้เป็นงานอดิเรกเช่นกัน นอกจากนั้นก็ยังมีกลุ่มบุคคลสูงอายุซึ่งเลี้ยงกล้วยไม้เพื่อความสุขทางใจ การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ อย่างไรก็ตามการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบ คือ ในกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มผู้มีเงินในยุคนั้น และเป็นการปลูกเลี้ยงที่นิยมกล้วยไม้พันธุ์ต่างประเทศ ส่วนกล้วยไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในป่าของประเทศไทยจะนิยมและยกย่องเฉพาะพันธุ์ ที่หายากและมีราคาแพง

หลังการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในปี 2475 สภาพการเลี้ยงก็ยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบเช่นเดิม แต่ผลงานเกี่ยวกับการผสมพันธุ์กล้วยไม้ในต่างประเทศเริ่มมีอิทธิพลกระตุ้น ให้ผู้เกี่ยวข้องกับวงการกล้วยไม้ในประเทศไทยสนใจกล้วยไม้ลูกผสมมากขึ้น มีการสั่งกล้วยไม้ลูกผสมจากประเทศในทวีปยุโรป สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เพื่อนำเข้ามาปลูกเลี้ยงในประเทศไทย การพัฒนาการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ เป็นไปอย่างจริงจัง เมื่อประมาณปี 2493 โดยได้มีการวิจัย นับตั้งแต่การรวบรวมปลูกในระดับพื้นฐาน ต่อมาในปี 2497 ได้เริ่มเปิดการฝึกอบรมการเลี้ยงกล้วยไม้ให้แก่ประชาชนผู้สนใจทั่วไป และมีการจัดตั้งชมรมกล้วยไม้ขึ้นในปี 2498 ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมาคมกล้วยไม้เมื่อปี 2500 และในปีเดียวกันนี้ ได้เริ่มมีการนำเอาความรู้ในเรื่องกล้วยไม้และแนวความคิดในการพัฒนาวงการ กล้วยไม้ออกเผยแพร่ทั้งทางโทรทัศน์และวิทยุ และมีการผลิตเอกสารสิ่งพิมพ์เผยแพร่ ทำให้วงการกล้วยไม้ของประเทศไทย ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งมีการจัดตั้งสมาคมและสโมสรเกี่ยวกับกล้วยไม้ขึ้นในภาคและจังหวัด ต่างๆ ในปี 2501 ได้มีการเปิดการสอนวิชากล้วยไม้ขึ้นในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นครั้งแรก เพื่อผลิตนักวิชาการและพัฒนางานวิจัยกล้วยไม้ของประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ไม่ได้จำกัดอยู่ภายในวง แคบอีกต่อไป จากการส่งเสริมดังกล่าว ทำให้มีการนำเข้ากล้วยไม้ลูกผสมจากต่างประเทศ เช่น จากฮาวายและสิงคโปร์จำนวนมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้ที่มีความรู้หันมารวบรวมพันธุ์ผสมและเพาะพันธุ์จากพ่อแม่พันธุ์ใน ประเทศ ทั้งที่เป็นพ่อแม่พันธุ์จากป่า และลูกผสมที่สั่งเข้ามาแล้วในอดีต ปี 2506 วงการกล้วยไม้ของไทยได้เริ่มมีแผนในการขยายข่ายงานออกไปประสานกับวงการกล้วย ไม้สากล เพื่อยกระดับวงการกล้วยไม้ในประเทศให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ ปี 2509 เริ่มการทำสวนกล้วยไม้ตัดดอกอย่างจริงจัง เมื่อไทยเริ่มส่งออกกล้วยไม้ไปสู่ตลาดต่างประเทศในยุโรปตะวันตก เช่น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน เนเธอร์แลนด์ และอิตาลี ต่อมาจึงขยายตลาดไปสู่ประเทศญี่ปุ่น แคนาดา และบางรัฐของสหรัฐอเมริกา.

โหงวเฮ้ง…ทรงผมกับใบหน้า ทำสวย แล้วรวยทรัพย์


ทรงผม
ทรงผมเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้เราสร้างโชคลาภได้

คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่สามารถเลือกสิ่งดี ๆ สร้างโชคให้กับตัวเองได้ อย่างเรื่องของทรงผม ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยให้ร่างกายของเราสร้างโชคลาภได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเลือกไว้ผมที่เข้ากับรูปหน้า แต่หากรูปทรงของใบหน้าไม่ค่อยจะอำนวย โหงวเฮ้งไม่ดี การเปลี่ยนทรงผมนี่แหล่ะก็จะเป็นอีกตัวช่วยที่จะทำให้ใบหน้าของคุณดูมีความ สมดุลแห่งโชคที่พอเหมาะได้

คุณธันยมัย ธำรงพุทธิกุล นักปรับสมดุลแห่งดวงดาว เจ้าของหนังสือเฮง… สวย… โอมเพี้ยง! จะมาบอกเคล็ดลับในการทำกับใบหน้าแต่ละแบบคะ

  ใบหน้ารูปไข่

ค่อนข้างจะได้เปรียบเพราะถือเป็นรูปหน้าที่ได้มาตรฐาน เหมาะกับทรงผมแทบทุกทรง แต่แนะนำให้เพิ่มเลเยอร์หรือมิติด้วยการสไลด์ผม โดยเฉพาะบริเวณด้านข้าง เพื่อทำให้ใบหน้าดูสดใสมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ควรทำสีผมออกโทนสว่าง เพื่อเพิ่มความขาวใสให้กับใบหน้า ส่งผลให้มีโชคด้านการดำเนินชีวิตที่สดใสไปด้วย รวมทั้งเพิ่มความกระตือรือร้นและแรงผลักดันให้กับทุก ๆ ความต้องการของชีวิต และหากแสกกลางก็จะกระตุ้นโชคด้านความมั่นใจ ความทรงเสน่ห์ ส่วนใครมีใบหน้ารูปไข่แบบอูม ๆ หรืออวบอิ่มมากไปหน่อย ก็ให้เลือกแสกข้าง เพื่อช่วยให้ใบหน้าได้รูปและดูดีมากยิ่งขึ้น

  ใบหน้าเหลี่ยม

โดยส่วนใหญ่ คนที่มีรูปหน้าเหลี่ยม จะมีบริเวณโหนกแก้มและคางค่อนข้างใหญ่ และมีพื้นที่มากกว่าส่วนอื่นของใบหน้า ส่งผลให้เป็นคนค่อนข้างดื้อ และมีความรับผิดชอบสูงมากไปหน่อย จนดูเหมือนกดดันตัวเองอยู่ตลอดเวลา การปรับสมดุลทำได้ โดยการเลี้ยงผมด้านข้างให้ยาวลงมาปิดกราม หรือใช้วิธีสไลด์ผมด้านข้างให้ชี้ออก เพื่อพรางบริเวณแก้มแทนก็ได้ค่ะ เท่านี้ก็จะดูเป็นสาวแอคทีฟ ส่งพลังงานด้านความกระตือรือร้น ความยืดหยุ่นให้กับตัวเราได้ อีกทางเลือกคือไว้ผมยาวไปเลย แล้วใช้วิธีสไลด์ผมด้านข้างให้มาปิดบริเวณแก้มเอาก็ได้ การสไลด์จะช่วยให้ใบหน้าดูมีมิติมากขึ้น ที่สำคัญต้องทำสีผมให้เห็นเท็กเจอร์ของผมให้ดูโดดเด่นมากขึ้น หากชอบการดัดผม ก็ให้ดัดผมแบบอ่อน ๆ ซึ่งจะส่งผลด้านความอ่อนหวานน่ารัก

ทรงผมที่ไม่เหมาะกับใบหน้าเหลี่ยม คือ ทรงผมสั้นเคลียไหล่ ส่วนแบบที่สั้นกุดเป็นสาวทอมบอยไปเลยคงไม่เหมาะแน่ ๆ เพราะจะยิ่งเน้นความเปลี่ยมของใบหน้าเข้าไปอีก ทำให้โชคด้านความราบรื่นในการทำงานเข้ามาได้ไม่เต็มที่

  ใบหน้ากลม

เหมาะกับการไว้ผมยาว แต่ต้องเก็บด้านข้าง เน้นปรับรูปหน้าให้ได้รูปมากขึ้นด้วยการปัดผมมาตรงแก้ม และให้ผมดูมีน้ำหนักสมดุลกันทั้งสองข้าง สาวใบหน้ากลมไม่ควรแสกกลาง เพราะจะทำให้ใบหน้าดูกลมขึ้นไปอีก หากเป็นคนที่คางยาว ก็ให้ไว้ผมหน้าม้าบาง ๆ จะช่วยสร้างความสมดุลให้กับรูปหน้าได้มากขึ้น หากชื่นชอบการดัดผม ก็เหมาะกับการดัดผมลอนใหญ่ ๆ ควบคู่กับการทำสีผม เพื่อไม่ให้ใบหน้าดูสูงอายุกว่าที่ควรจะเป็น

สาวหน้ากลม ควรหาทรงผมที่ทำแล้วทำให้มีผมหนา เพราะหากผมลีบบางก็จะยิ่งหน้ากลมบานเข้าไปอีก หรือถ้าไว้ผมสั้นแล้วซอยไล่ระดับให้ดูหัวทุย ๆ ก็จะเก๋ไปอีกแบบ หากมีผมบางแนะนำให้ใช้วิธีการดัดเพื่อทำให้ผมดูหนาขึ้น ทำให้ใบหน้าดูสดใสและเด็กขึ้นด้วย คนใบหน้ากลม ถ้าปัดผมแบบแสกข้างจะช่วยกระตุ้นโชคด้านความก้าวหน้าและถ้าเติมความเก๋ด้วย การติดกิ๊บคริสตัลสวย ๆ ด้วยก็จะช่วยเพิ่มโชคด้านการเจรจา การสื่อสารได้อีกด้วย

จำทรงผมไปเหมาะกับใบหน้าแล้วเลือกแบบเก๋ ๆ ให้ช่างจัดการให้ รับรองทั้งสวยและเฮงแน่คราวนี้

กล้วย สูตรลดน้ำหนักสุดฮิต ของหนุ่มสาวแดนซากุระ


กล้วย

ใครจะเชื่อว่า การรับประทานกล้วยหอม กลายเป็น
สูตรลดน้ำหนักสุดฮิต ที่สาวหนุ่มแดนซากุระแห่ทำตาม
จนแทบแย่งชิงกันเพื่อให้ได้กล้วยหอมมาครอบครอง หวังลดน้ำหนักได้เพรียวกันถ้วนหน้า 


สูตรลดน้ำหนัก
  ที่ตกเป็นข่าวโจษขานเมื่อไม่นานมานี้ แนะนำให้ กินกล้วยหอม 1-2 ผล พร้อมกับน้ำในอุณหภูมิห้องในมื้อเช้า ส่วนมื้อกลางวันและเย็นสามารถกินได้ตามปกติ อาจจะเพิ่มอาหารว่างตอนบ่ายสาม สิ่งสำคัญคือ งดของหวานและเข้านอนก่อนเที่ยงคืน

“ในทางโภชนาการแล้ว สูตรดังกล่าวสามารถลดน้ำหนักได้จริง หากเป็นคนที่ไม่ทานอาหารเช้าเลย หรือทานอาหารเช้าที่หนักเกินไป” แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อธิบายความเป็นไปได้

กล้วยหอม 1 ลูก น้ำหนักประมาณ 100 กรัม (ไม่รวมเปลือก) จะให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี ในกรณีที่กินข้าวเช้าตามปกติ เช่น ข้าวมันไก่ 1 จาน ที่ให้พลังงาน 500 กิโลแคลอรี หากเปลี่ยนมากินกล้วยหอมเป็นมื้อเช้า ก็จะได้แคลอรีน้อยลง ในขณะเดียวกัน หากว่ากันตามสูตรก็จะให้กินพร้อมกับน้ำ ทำให้อิ่มเร็วขึ้น

สำหรับคนที่ไม่เคยกินข้าวเช้า นักโภชนาการบอกว่า สูตรนี้ช่วยได้อย่างมาก เนื่องจากจะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ให้ได้รับอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้อที่จำเป็นต่อร่างกายและสมอง

“ในสังคมปัจจุบัน คนเร่งรีบจนไม่กินอาหารเช้าหรือดื่มเพียงกาแฟ 1 แก้ว ซึ่งส่งผลต่อระบบการเผาผลาญในร่างกาย กล้วยหอมจะถือเป็นอาหารมื้อเช้า ที่ช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”

ใน  ”กล้วย”  นอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรต และไฟเบอร์ ยังมีน้ำตาลทั้งกลูโคส, ฟลุกโตส และซูโคส ที่ช่วยเพิ่มพลังกายและสมอง ให้สามารถนำไปใช้ได้เลย ทำให้นักโภชนาการมองว่า สูตรลดน้ำหนักด้วยกล้วยนี้ จะเป็นที่นิยมนานกว่าสูตรอื่น เนื่องจากเป็นสูตรที่ง่าย ราคาไม่แพง แถมยังอร่อย ทำให้คนไม่ฝืนใจกิน ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้กับกล้วยประเภทอื่น ได้ไม่ว่าจะเป็นกล้วยน้ำว้า กล้วยไข่

นอกจากรับประทานกล้วยแล้ว ข้อห้ามเกี่ยวกับของหวานและการนอน ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ดี น.ส.แววตาชี้ว่า ของหวานเป็นอุปสรรคสำคัญในการลดน้ำหนัก ขณะที่การจัดเวลาของว่างช่วงบ่ายสามโมงก็ถือว่าดี จากเดิมที่คนไทยกินของว่างไม่เป็นเวลา ก็จะช่วยให้นาฬิการ่างกายเรียนรู้ และปรับระบบเผาผลาญในช่วงเวลานั้น ส่วนการนอนก่อนเที่ยงคืน ก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบเผาผลาญได้อีกทางหนึ่ง

อย่างไรก็ดี นักโภชนาการแนะนำว่า สูตรนี้เหมาะกับคนที่ไม่รับประทานอาหารเช้า หรือรับประทานอาหารเช้าที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผู้ที่ไม่ควรลิ้มลองคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคไต เนื่องจากกล้วยมีน้ำตาลและโปแตสเซียมสูง ในขณะที่ผู้ที่รับประทานอาหารเช้าเพื่อสุขภาพอยู่แล้วก็ไม่จำเป็น อาทิเช่น คอร์นเฟลกกับนม, ข้าวกับแกงจืดตำลึง หรือ ข้าวกับไก่ผัดขิง เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน สูตรลดน้ำหนักนี้ก็ไม่เหมาะกับเด็กวัยเรียน เนื่องจากเด็กวัยนี้ต้องการโปรตีนในช่วงเช้าเพื่อเป็นแหล่งพลังงานระหว่าง วัน โดยนักโภชนาการแนะว่า หากต้องการลดน้ำหนัก อาจจะปรับสูตร เช่น กล้วยกับหมูปิ้ง กล้วยกับไข่ต้ม หรือกล้วยกับชีสแบบไขมันต่ำ

นักโภชนาการยังบอกด้วยว่า ไม่เฉพาะแต่กล้วยที่สามารถนำไปใช้เป็นสูตรลดน้ำหนักได้ ผลไม้อื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยดูจากผลไม้ที่ไม่หวานมาก ไม่หนักแป้ง และกินได้ง่าย เช่น แอ๊ปเปิ้ล แคนตาลูป หรือแตงโม เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็ควรหลีกเลี่ยงทุเรียน, ขนุน ที่หวานจัดหรือผลไม้ที่เป็นกรดเช่น สับปะรด

“สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำ เตือนทุกคนคือ กล้วย 1 ใบ ไม่ใช่อาหารมหัศจรรย์ที่จะทำให้คนเราผอม สวย สุขภาพดี เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่ครบ 5 หมู่ แต่กล้วยจะเป็นจุดเริ่มต้น ให้คนหันมารับประทานอาหารเช้าซึ่งเป็นมื้อสำคัญ และเพิ่มสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ในมื้ออื่นของวัน และต้องออกกำลังกายให้สมดุลกับอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวัน เพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ดีต่อไป”  น.ส.แววตา นักโภชนาการกล่าวทิ้งท้าย

อะเซโรลา เชอร์รี่ Acerola Cherry

ประโยชน์ของ อะเซโรลา เชอร์รี่ Acerola Cherry 

ครีมฮันนี่อะเซโรล่า เชอร์รี่

อะเซโรลา เชอร์รี่ เป็นพืชในตระกูล Malpighiaceae มีชื่อสามัญว่า Barbados cherry, west Indian cherry, acerola, cereza, cerisier, shimarucu และมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Malpighia punocifolia L. โดยชื่อ อะเซโรลา เชอร์รี่เป็นชื่อภาษาเปอร์โตริกัน

อะเซโรลา เชอร์รี่ เป็นพืชเขตร้อน (tropical to sub-tropical) มีถิ่นกำเนิดในหมู่เกาะอินดีสตะวันตก (West Indies) แถบทะเลแคริบเบียน โดยพบทางตอนเหนือของอเมริกาใต้ เช่น เม็กซิโก บาฮามาส ทรินิเดด คิวบา จาไมก้า บราซิล เปอร์โตริโก และแผ่ขยายไปจนถึงอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ เชื่อกันว่ามีการนำจากประเทศคิวบาไปปลูกที่รัฐฟลอริดา อเมริกา ในค.ศ. 1887-1888 ก่อนที่จะมีการนำไปปลูกที่ประเทศเปอร์โตริโกก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีการนำไปปลูกทั่วโลก เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอินเดีย

อะเซโรลา เชอร์รี่ เป็นไม้พุ่มขนาดใหญ่ สูงประมาณ 6 เมตร ลำต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 10 เซนติเมตร มีขนอ่อนเล็กๆที่กิ่ง มีดอกสีชมพู ถึงสีม่วงอ่อน(ลาเวนเดอร์) ผลของอะเซโลรา เชอร์รี่อาจเป็นผลเดี่ยว หรือเป็นช่อประมาณ 2-3 ลูก มีลักษณะแป้นถึงกลม คล้ายเชอร์รี่ แต่มี 3 หยัก ขนาดกว้างประมาณ 1.25-2.5 เซนติเมตร ผิวมันบาง สีแดงสด เนื้อชุ่มน้ำสีส้ม มีรสเปรี้ยว หรืออมเปรี้ยวจนเกือบหวาน มีกลิ่นคล้ายแอปเปิ้ล ใน 1 ผลจะมี 3 เมล็ด เนื่องจากผลของอะเซโลรา เชอร์รี่มีผิวที่ค่อนข้างบาง จึงทำให้ช้ำง่าย และเสื่อมสภาพเร็ว หลังจากเก็บเกี่ยวแล้วจะเกิดกระบวนการหมักอย่างรวดเร็ว (ประมาณ 3-5 วัน) และถ้าไม่เก็บไว้ในที่อุณหภูมิต่ำ (7°c) จะทำให้เกิดเชื้อราขึ้นได้ง่าย โดยถ้าต้องการเก็บไว้นานๆ ต้องเก็บที่อุณหภูมิต่ำกว่า -12°c จึงนิยมรับประทานผลสด หรือนำไปทำแยม เยลลี่ ไซรัป น้ำผลไม้ และก็มีการนำมาประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่างๆ เช่น ผงขัดผิว สบู่/เจลล้างหน้า หรือเป็นส่วนผสมในครีมและเครื่องสำอางต่างๆ เป็นต้น

อะเซโลรา เชอร์รี่เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ คือ วิตามินซี มีโปรตีนและแร่ธาตุสูงโดยเฉพาะ เหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม และมีสาระสำคัญตัวหนึ่งชื่อ trans-beta-carotene ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถเสริมภูมิต้านทานของร่างกาย มีปริมาณของไขมันอิ่มตัว และโซเดียมต่ำ ไม่มีคลอเลสเตอรอล และจากผลการวิจัยพบว่า อะเซโรลา เชอร์รี่ มีปริมาณวิตามินซีสูงกว่าที่พบในส้มถึง 30-80 เท่า

แปลจาก: http://www.hor.purdue.edu/newcrop/morton/Barbados_cherry.html

ปริมาณสารอาหารในส่วนที่กินได้ของอะเซโลรา เชอร์รี่ 100 กรัม 
พลังงาน 59 แคลอรี่
ความชื้น 81.9-91.0 กรัม
โปรตีน 0.68-1.8 กรัม
ใยอาหาร 0.6-1.2 กรัม
ไขมัน 0.18-1 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 6.98-14.0 กรัม
เถ้า 0.77-0.82 กรัม
แคลเซียม 8.2-34.6 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 16.2-37.5 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.17-1.11 มิลลิกรัม
แคโรทีน 0.003-0.0408 มิลลิกรัม
วิตามินเอ 408-1000 มิลลิกรัม
กรดโฟลิก 13.7 ไมโครกรัม
วิตามินบี 1 0.024-0.04 มิลลิกรัม
วิตามินบี 2 0.038-0.079 มิลลิกรัม
ไนอะซิน 0.34-0.526 มิลลิกรัม
วิตามินซี (ขึ้นกับสายพันธุ์) ผลดิบสีเขียว 4500 มิลลิกรัม
ผลกึ่งสุก 3300 มิลลิกรัม
ผลสุก 2000 มิลลิกรัม
เฉลี่ยทุกสายพันธุ์ 1500 มิลลิกรัม

และเนื่องจากอะเซโลรา เชอร์รี่มีวิตามินซีสูงมาก จึงมีการปลูกเป็นอุตสาหกรรมเพื่อนำมาผลิตวิตามินซีในรูปต่างๆ เช่น ผง เม็ด แคปซูล น้ำผลไม้ เป็นต้น แต่เนื่องจากวิตามินซีจะสลายตัวเมื่อมีความร้อน จึงต้องสกัดน้ำอะเซโลรา เชอร์รี่ที่อุณหภูมิต่ำประมาณ -195°c และผลอะเซโลรา เชอร์รี่ 18 กิโลกรัมจะสกัดเป็นน้ำได้ 1 กิโลกรัม จากนั้นมาทำให้แห้งเพื่อนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่อไป

ประโยชน์ของวิตามินซี : 

1. เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลาย ช่วยป้องกันเซลล์ไม่ให้เสื่อมตัวเร็ว

2. ช่วยลดการติดเชื้อหวัด ช่วยต้านการติดเชื้อแบคทีเรีย จากการศึกษาพบว่าผู้ที่ได้รับวิตามินซีเป็นประจำจะเป็นหวัดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้รับ

3. ช่วยลดการแพ้ต่าง ๆ รวมทั้งโรคภูมิแพ้ โดยยับยั้งสาร ฮีสตามิน ซึ่งร่างกายสร้างขึ้นมา หากมากเกินไปจะทำมีอาการระคายเคืองตามระบบหายใจ ทำให้จามและมีน้ำมูกไหล

4. ช่วยในการสังเคราะห์คอลลาเจนซึ่งเป็นโปรตีนจำเป็นสำหรับเนื้อเยื่อที่ผิวหนัง

5. ช่วยป้องกัน และรักษาเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ลดรอยหมองคล้ำ ฝ้า กระ รอยด่างดำตามร่างกาย ช่วยให้ผิวพรรณสว่างสดใสได้ต่อเนื่องยาวนาน

6. มีงานวิจัยบางชิ้นยังบอกถึงฤทธิ์ของวิตามินซีในด้านอื่นๆ เช่น ช่วยการเจริญเติบโตในเด็กเล็ก ช่วยลดจำนวนเซลล์มะเร็งไม่ให้แพร่กระจายออกไป ช่วยลด LDL เป็นต้น อย่างไรก็ตามงานวิจัยเหล่านี้ยังมีจำนวนไม่มากพอที่จะนำมาสรุปผลของวิตามินซีต่อโรคเหล่านี้ได้ จึงควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจเลือกใช้เพื่อรักษาโรค

ข้อควรระวัง : 

– ไม่ควรทานวิตามินซี เกินวันละ 2,000 มก. เพราะอาจทำให้เกิดอาการท้องร่วงได้

– ไม่ควรเก็บผลิตภัณฑ์ของอะเซโลรา เชอร์รี่ ที่อุณหภูมิสูง และหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะจะทำให้ผลิตภัณฑ์เสื่อมคุณภาพได้ง่าย

ผู้จัดทำ นักศึกษาเภสัชศาสตร์ ตันติกร สุเชาว์อินทร์
จัดทำเมื่อ 25 มีนาคม 2553

แอปเปิ้ล ผลไม้เพื่อสุขภาพ (Slim Up)


การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก

 การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด

 เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า “อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?” เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า “แอปเปิ้ล” แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น “ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก”

 กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง

 แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลักซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด

 พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน

 เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า “เพคติน” ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

 นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิกกรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

 แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน

เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง

 ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?

จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน

 กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์

          ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ

ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

ไข้หวัดใหญ่ (Influenza FLU)

                                  

       โรคไข้หวัดใหญ่ (อังกฤษ: influenza) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในทุกคนทุกเพศทุกวัย พบได้เกือบทั้งปี แต่จะเป็นมากในช่วงฤดูฝน ซึ่งบางปีอาจจะพบการระบาด พบเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของอาการไข้ที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน แพทย์มักจะให้การวินิจฉัยผู้ใหญ่ที่มีอาการตัวร้อนมา 2-3 วัน โดยไม่มีอาการอย่างอื่นชัดเจนว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ซึ่งบางครั้งก็อาจพบการผิดพลาดได้

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นไวรัสมีชื่อว่า ไวรัสอินฟลูเอนซา (influenza virus) เชื้อนี้จะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการไอ หรือจาม หรือการสัมผัสถูกมือของเครื่องใช้เปื้อนเชื้อโรค ระยะฟักตัว 1-4 วัน เชื้อไข้หวัดใหญ่มีอยู่ 3 ชนิด เรียกว่า ชนิด เอ,บี และซี ซึ่งแต่ละชนิดยังแบ่งเป็นพันธ์ย่อยๆ ไปอีกมากมาย ในการเกิดโรคแต่ละครั้งจะเกิดจากพันธุ์ย่อยๆ เพียงพันธุ์เดียว ซึ่งเป็นแล้วจะมีภูมิคุ้มกันต่อพันธุ์นั้น เชื้อไข้หวัดใหญ่บางพันธุ์ อาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำให้เกิดการระบาดใหญ่ และมีการเรียกชื่อโรคที่ระบาดแต่ละครั้งตามชื่อของประเทศที่เป็นแหล่งต้นกำเนิด

การระบาดของไข้หวัดใหญ่ทั่วโลก

การระบาดใหญ่เกิดขึ้นจากการอุบัติของไวรัสชนิดใหม่ เรียงลำดับดังนี้พ.ศ. 2461-2462 (ค.ศ.1918-1919) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย (subtype) H1N1 (ในยุคนั้นยังไม่สามารถตรวจแยกเชื้อได้ การตรวจชนิดของเชื้อไวรัสเกิดขึ้นภายหลัง) มีชื่อว่าไข้หวัดใหญ่สเปน (Spainish flu) เป็นการระบาดทั่วโลกครั้งร้ายแรงที่สุด คร่าชีวิตผู้คนไปประมาณ 50 ล้านคน (มากกว่าผู้คนที่เสียชีวิตจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เสียอีก) เป็นผู้ที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาถึงกว่า 500,000 คน

พ.ศ. 2500-2501 (ค.ศ.1957-1958) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย H2N2 มีชื่อว่าไข้หวัดใหญ่เอเชีย (Asian flu) เริ่มที่ตะวันออกไกลก่อนระบาดไปทั่วโลก มีผู้เสียชีวิต 70,000 คนในสหรัฐอเมริกา การระบาดในครั้งนี้สามารถตรวจพบและจำแนกเชื้อได้รวดเร็ว และผลิตวัคซีนออกมาฉีดป้องกันได้ทัน จึงมีผู้เสียชีวิตไม่มากนัก

พ.ศ. 2511-2512 (ค.ศ.1968-1969) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย H3N2 มีชื่อว่าไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง (Hong Kong flu) รายงานผู้ป่วยรายแรกเป็นชาวฮ่องกง แล้วจึงแพร่กระจายออกไป มีผู้เสียชีวิตประมาณ 34,000 คนในอเมริกา เป็นชนิดย่อยที่มีลักษณะทางพันธุกรรมคล้ายไข้หวัดใหญ่เอเชีย (H2N2) จึงมีผู้ป่วยจำนวนไม่มากนัก เพราะมีภูมิคุ้มกันอยู่บ้างแล้ว

พ.ศ. 2520-2521 (ค.ศ.1977-1978) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย H1N1 กลับมาระบาดใหม่ มีชื่อว่าไข้หวัดใหญ่รัสเซีย (Russian flu) เริ่มระบาดที่ประเทศจีนตอนเหนือแล้วกระจายไปทั่วโลก ทราบภายหลังว่าเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่กระจายอยู่ทั่วไปก่อนปี พ.ศ. 2500 คือ ไข้หวัดใหญ่สเปน (H1N1) ที่ระบาดเมื่อปี พ.ศ. 2461-2462 (ก่อนถูกแทนที่ด้วยไข้หวัดใหญ่เอเชีย คือชนิดย่อย H2N2 ในปี พ.ศ. 2500) ผู้ที่อายุเกิน 23 ปีในขณะนั้น ส่วนใหญ่มีภูมิต้านทานโรคแล้วจากการระบาดครั้งก่อน จึงเกิดโรครุนแรงเฉพาะผู้ที่อายุน้อยกว่า 23 ปี ที่ไม่มีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสชนิดนี้เท่านั้น

พ.ศ. 2552 (ค.ศ.2009) ไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย H1N1 เป็นไวรัสที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมระหว่างไวรัสไข้หวัดใหญ่นก ไข้หวัดใหญ่หมูและไข้หวัดใหญ่มนุษย์ เกิดเป็นไวรัสไข้หวัดใหญ่พันธุ์ผสม กลับมาระบาดอีกครั้ง มีชื่อว่าไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก (Mexican flu) หรือชื่อใหม่ว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่ A ชนิดย่อย H1N1 2009 เริ่มระบาดที่ประเทศเม็กซิโกเมื่อเดือน มี.ค.แล้วกระจายสู่สหรัฐอเมริกา แคนาดา นิวซีแลนด์ ฯลฯ

ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดต่างกันอย่างไร?

ไข้หวัดใหญ่พบมากทุกอายุ โดยเฉพาะในเด็กจะพบมากเป็นพิเศษ แต่อัตราการตายมักจะพบในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 65 ปีหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคไต เป็นต้น การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่ป้องกันได้ผลมากที่สุด สามารถลดอัตราการติดเชื้อ ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล ลดโรคแทรกซ้อน และลดการหยุดงาน ไข้หวัดเป็นการติดเชื้อไวรัสทำให้เกิดอาการน้ำมูกไหลมีไข้ไม่สูง สำหรับไข้หวัดใหญ่เป็นการติดเชื้อจากไวรัส ที่เรียกว่า “Influenza virus” เป็นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจซึ่งอาจจะลามลงไปปอด ผู้ป่วยจะมีอาการค่อนข้างเร็ว ไข้สูงกว่าไข้หวัด ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียอย่างฉับพลัน

ในปี ค.ศ. 2003 ได้มีการแนะนำเรื่องไข้หวัดใหญ่ดังนี้

  1. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฉีดวัคซีน คือ เดือนตุลาคม และ พฤศจิกายน (เนื่องจากเชื้อนี้มักจะระบาดในต่างประเทศ หากประเทศเราจะฉีดก็น่าจะเป็นช่วงเดียวกัน) โดยเน้นไปที่ประชาชนที่มีอายุ 50 ปี,เด็กอายุ 6-23 เดือน,คนที่อายุ 2-49 ปีที่มีโรคประจำตัวกลุ่มนี้ให้ฉีดในเดือนตุลาคม ส่วนกลุ่มอื่น เช่นเด็ก เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ผู้ดูแลคนป่วย กลุ่มนี้ให้ฉีดเดือนพฤศจิกายน
  2. เ ด็กที่อายุ 6-23 เดือน ควรจะฉีดทุกรายโดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัวร่วมด้วย
  3. ชนิดของวัคซีนที่จะฉีดให้ใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของเชื้อ A/Moscow/10/99 (H3N2) -like, A/New Caledonia/20/99 (H1N1) -like, และ B/Hong Kong/330/2001
  4. ให้ลดปริมาณสาร thimerosal ซึ่งเป็นสารปรอท

อาการ

มักจะเกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการไข้สูง ตัวร้อน หนาว ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะที่หลัง ต้นแขนต้นขา ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ขมในคอ คัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ ไอแห้งๆ จุกแน่นท้อง แต่บางรายอาจไม่มีอาการคัดจมูก หรือเป็นหวัดเลยก็ได้ มีข้อสังเกตว่า ไข้หวัดใหญ่มักเป็นหวัดน้อย แต่หวัดน้อยมักเป็นหวัดมาก ไข้มักเป็นอยู่ 2-4 วัน แล้วค่อยๆ ลดลง อาการไอและอ่อนเพลีย อาจเป็นอยู่ 1-4 สัปดาห์ แม้ว่าอาการอื่นๆ จะหายลงแล้ว บางรายเมื่อหายจากไข้หวัดใหญ่แล้วอาจมีอาการเวียนศีรษะเมารถเมาเรือเนื่องจากการอักเสบของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน ซึ่งมักจะหายเอง ใน 3-5 วัน

  1. ไข้หวัดใหญ่ที่ไม่มีโรคแทรกซ้อน ระยะฟักตัว 1-4วัน โดยเฉลี่ย 2 วัน
  • ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลียอย่างฉับพลัน
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้
  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
  • ปวดตามแขนขา ปวดข้อ ปวดรอบตา
  • ไข้สูง 39-40 ํc
  • เจ็บคอ และ คอแดง มีน้ำมูกใสไหล
  • ไอแห้ง ๆ
  • ตามตัวจะร้อน แดง ตาแดง
  • อาการอาเจียน หรือท้องเดิน ไข้เป็น 2-4 วันแล้วค่อย ๆ ลดลง แต่อาการคัดจมูก และแสบคอยังคงอยู่โดยทั่วไปจะหายใน 1 สัปดาห์
  1. สำหรับรายที่เป็นรุนแรงมักเกิดในผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังอยู่ก่อนมักจะเกิดโรคแทรกซ้อนที่ระบบอื่นด้วย เช่น

สิ่งตรวจพบ

ไข้ 38.5-40 องศาเซลเซียส หน้าแดง เปลือกตาแดงอาจมีน้ำมูกใสๆ คอแดงเล็กน้อยหรือไม่แดงเลยก็ได้ ส่วนมากมักตรวจไม่พบอาการผิดปกติอื่นๆ

อาการแทรกซ้อน

ส่วนมากจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ภาวะแทรกซ้อนจะเกิดขึ้นเป็นส่วนน้อย ที่พบได้บ่อย ได้แก่ ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หูชั้นในอักเสบ หลอดลมอักเสบ ภาวะที่สำคัญคือปอดอักเสบ ซึ่งมักจะเกิดกับจากแบคทีเรียพวก นิวโมค็อกคัส หรือสเตฟฟิโลค็อกคัส ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงมักจะเกิดในเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่สูบบุหรี่จัด หรือผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังทางปอดหรือหัวใจ แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่จะมีโอกาสแทรกซ้อนถึงตายได้นั้นนับว่าน้อยมาก มักจะเกิดขึ้นในเด็กเล็ก หรือผู้ป่วยเรื้อรัง

การติดต่อ

เชื้อนี้จะติดต่อได้ง่าย การติดต่อสามารถติดต่อได้โดย

  1. เชื้อสามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งโดยการหายใจได้รับน้ำมูก หรือ เสมหะของผู้ป่วยโดยเชื้อจะผ่านเข้าทางเยื่อบุตา จมูก และปาก
  2. การที่คนได้สัมผัสสิ่งที่ปนเชื้อโรค เช่น ผ้าเช็ดหน้า ช้อน แก้วน้ำ การจูบ
  3. การที่มือไปสัมผัสเชื้อแล้วขยี้ตา หรือ เอาเข้าปาก

ระยะติดต่อ

ระยะเวลาที่ติดต่อคนอื่นคือ 1 วันก่อนเกิดอาการ, 5 วันหลังจากมีอาการ ในเด็กอาจจะแพร่เชื้อ 6 วันก่อนมีอาการ และแพร่เชื้อได้นาน 10 วัน

การวินิจฉัย

     การวินิจฉัยไข้หวัดใหญ่จะอาศัยประวัติและการตรวจร่างกายเป็นหลักโดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดของเชื้อ การวินิจฉัยที่แน่นอนอาจจะทำได้ 2 วิธีคือ

  • นำไม้พันสำลีแหย่ที่คอ หรือจมูก แล้วนำไปเพาะเชื้อ
  • เจาะเลือด
    • ตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโดยต้องเจาะ 2 ครั้งห่างกัน 2 ชั่วโมงแล้วเปรียบการเพิ่มของภูมิต่อเชื้อ
    • การตรวจหา Antigen
    • การตรวจโดยวิธี PCR,Imunofluorescent

โรคแทรกซ้อน

              ติดเชื้อแบคทีเรีย อาจจะทำให้ปอดบวม ฝีในปอด หนองในช่องเยื่อหุ้มปอด นอกจากนี้ ไข้หวัดใหญ่ในหญิงมีครรภ์ ยังผลต่อมารดามักเป็นชนิดรุนแรงและมีอาการมาก ผลต่อเด็กอาจจะทำให้แท้ง

การรักษา

ไข้หวัดใหญ่ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนท่านผู้อ่านสามารถดูแลตัวเองที่บ้าน

  • ให้นอนพักไม่ควรออกกำลังกาย
  • ให้ดื่มน้ำ หรือ น้ำผลไม้ หรือน้ำซุป หรืออาจจะดื่มน้ำเกลือแร่ ร่วมด้วย แต่ไม่ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว เพราะจะทำให้ท่านขาดเกลือแร่ได้ หรืออาจจะเตรียมโดยใช้น้ำข้าวใส่เกลือ และน้ำตาลก็ได้
  1. ให้การดูแลปฏิบัติตัว และรักษาตามอาการเหมือนไข้หวัด คือ นอนพักผ่อนมากๆ ห้ามตรากตรำทำงานหนัก ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง กินอาหารอ่อน ดื่มน้ำและน้ำหวาน หรือน้ำผลไม้ ให้ยาแก้ปวด Paracetamol ผู้ใหญ่ ครั้งละ 1-2 เม็ด (500 มิลลิกรัม) วันละ 2-3 ครั้ง ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน
  2. ยาปฏิชีวนะ ไม่จำเป็นต้องให้เพราะเป็นโรคที่เกิดจากไวรัส จะให้ก็ต่อเมื่อมีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น น้ำมูกหรือเสลดเป็นสีเหลืองหรือเขียว ยาปฏิชีวนะที่มีให้เลือกใช้ ได้แก่ เพนวี ขนาดผู้ใหญ่ ให้ครั้งละ 4 แสนยูนิต ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง วันละ4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน ในเด็กให้ครั้งละ 50,000 ยูนิต ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หรืออิริโทรไมซิน ผู้ใหญ่ ให้ครั้งละ 250-500 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้ง ในเด็ก ให้วันละ 30-50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แบ่งให้ทุก 6 ชั่วโมง
  3. ถ้ามีอาการหอบหรือสงสัยปอดอักเสบ ควรส่งโรงพยาบาลโดยด่วน

ข้อแนะนำ

  1. โรคนี้ไม่ถือว่าเป็นโรคร้ายแรง ส่วนมากให้การดูแลตามอาการก็จะได้เองภายใน 3-5 วัน ถ้ามีไข้เกิน7 วัน ควรสงสัยไข้อื่นๆ นอนจากไข้หวัด ควรพบแพทย์เพื่อดูแลรักษาต่อไป

การป้องกัน

ปฏิบัติตัวเหมือนโรคหวัด

การรักษาตามอาการ และการประคับประคอง

  • ลดไข้ด้วยยาลดไข้ เช่น paracetamol ไม่ควรให้ aspirin ในคนที่มีอายุน้อยกว่า 16 ปีเพราะอาจจะทำให้เกิด Reye syndrome ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ ถ้าไอมากอาจจะซื้อยาแก้ไอรับประทาน
  • สำหรับผู้ที่เจ็บคออาจใช้น้ำ 1 แก้วผสมกับเกลือ 1 ช้อนกลั้วคอ แต่ห้ามดื่ม
  • สำหรับท่านที่มีอาการคัดจมูกอาจจะใช้ไอน้ำช่วยวิธีง่าย ๆ คือ ต้มน้ำร้อนแล้วให้นั่งหน้ากาน้ำเอาผ้าคลุมศีรษะและสูดดมไอน้ำ อาจจะใส่ vick หรือขิงลงไปเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก
  • อย่าสั่งน้ำมูกแรง ๆ เพราะจะทำให้เชื้อลุกลาม
  • ให้ล้างมือบ่อย ๆ เมื่อออกนอกบ้าน ในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่ให้หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ ลูกบิดประตู เป็นต้น
  • สวมผ้าปิดจมูก ป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น และช่วยป้องกันเชื้อโรคไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย เพราะ ระหว่างเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ จะมีภูมิต้านทานต่ำ
  • ไม่อยู่ใกล้ เด็ก หรือ ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ
  • ช่วงที่มีการระบาดให้หลีกเลี่ยงจากที่สาธารณะ

ผู้ป่วยควรพบแพทย์เมื่อไร

ไข้หวัดใหญ่สามารถหายเองได้และท่านสามารถดูแลตัวเองที่บ้าน แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ปรึกษาแพทย์ประจำตัวท่าน

ผู้ป่วยเด็ก

ในเด็กควรจะปรึกษาแพทย์เมื่อ

  • ไข้สูง และเป็นนาน
  • ให้ยาลดไข้แล้วไข้ยังเกิน 38.5ํ c
  • หายใจหอบ หรือหายใจลำบาก
  • มีอาการมากกว่า 7 วัน
  • ผิวสีม่วง
  • เด็กดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารไม่พอ
  • เด็กซึมลง ไม่เล่น
  • เด็กไข้ลดลง แต่หายใจหอบ

ผู้ป่วยผู้ใหญ่

สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นไข้หวัดใหญ่

  • ไข้สูง และเป็นมานาน
  • หายใจลำบาก หรือหายใจหอบ
  • เจ็บหรือแน่นหน้าอก
  • หน้ามืดเป็นลม
  • สับสน
  • อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้

ผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยง

ผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงควรพบแพทย์ทันทีที่เป็นไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อน ได้แก่

ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการต่อไปนี้ต้องเข้าโรงพยาบาล

  • มีอาการขาดน้ำ ไม่สามารถดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอ
  • ไอ แล้วเสมหะมีเลือดปน
  • หายใจลำบาก หายใจหอบ
  • สีริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีเขียว
  • ไข้สูงมากผู้ป่วยเพ้อ
  • มีอาการไข้ และไอหลังจากที่อาการไข้หวัดใหญ่หายไปแล้ว

การรักษาในโรงพยาบาล

  • ผู้ป่วยที่ขาดน้ำแพทย์จะให้น้ำเกลือ
  • ผู้ป่วยเหล่านี้ควรได้รับยา amantadine และ rimantadine เพื่อให้หายเร็ว และลดความรุนแรงของโรคยานี้ควรให้ภายใน 48 ชั่วโมงหลัง* จากเริ่มมีอาการและให้ต่อ 5-7 วัน ยานี้ไม่ช่วยลดโรคแทรกซ้อน
  • ถ้ามีอาการคัดจมูกแพทย์จะให้ยาลดน้ำมูก
  • ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนก็ไม่ควรให้ยาปฏิชีวนะ

ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะหายใน 2-3 วัน ไข้จะหายใน 7 วัน อาการอ่อนเพลียอาจจะอยู่ได้นาน1-2 สัปดาห์

การป้องกัน

  • ล้างมือบ่อยๆ
  • หลีกเลี่ยงการเอามือเข้าปากหรือขยี้ตา
  • อย่าใช้ของส่วนตัวร่วมกับคนอื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด เมื่อเวลาเจ็บป่วย
  • ให้พักที่บ้านเมื่อเวลาป่วย
  • สวมผ้าปิดจมูก เวลาไอ หรือจาม

วัคซีนป้องกัน

การป้องกันที่ดี คือ การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นวัคซีนที่ทำจากเชื้อที่ตายแล้วโดยฉีดที่แขนปีละครั้ง หลังฉีด 2สัปดาห์ภูมิคุ้มกันจึงจะสูงพอป้องกันการติดเชื้อ แต่การฉีดจะเลือกผู้ป่วยที่เสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน คือ

  • ผู้ที่อายุมากกว่า 50 ปี
  • ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัวเช่น โรคไต โรคหัวใจ โรคตับ
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  • ผู้ป่วยโรคเอดส์
  • หญิงตั้งครรภ์ 3 เดือนขึ้นไป และมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่
  • ผู้ที่อาศัยในบ้านพักคนชรา
  • เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ดูแลผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
  • สมาชิกในครอบครัวที่เป็นโรคเรื้อรัง
  • นักเรียนที่อยู่รวมกัน
  • ผู้ที่จะไปเที่ยวยังแหล่งระบาดของไข้หวัดใหญ่
  • ผู้ที่ต้องการลดอัตราการติดเชื้อ

การใช้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่เพื่อรักษา

การให้ยาภายใน 2 วันหลังเกิดอาการจะลดระยะเวลาเป็นโรค

จะใช้ยารักษาไข้หวัดกับคนกลุ่มใด

เราจะใช้ยากับคนกลุ่มเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ และยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน และอยู่ในช่วงที่มีการระบาดของโรคกลุ่มที่ควรจะได้รับยารักษา ได้แก่

  • คนที่อายุมากกว่า 65 ปี
  • เด็กอายุ 6-23 เดือน
  • คนท้อง
  • คนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคตับ โรคหัวใจ

การให้ยาเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่

ยาที่ได้รับการรับรองว่าใช้ป้องกันไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ อะแมนตาดีน ไรแมนตาดีน และ โอเซลทามิเวียร์ วิธีการป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ดีที่สุดคือ การฉีดวัคซีน แต่ก็มีบางกรณีที่จำเป็นต้องให้ยาเพื่อป้องกันไข้หวัดใหญ่

  • ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับวัคซีนไม่ทัน ทำให้ต้องได้รับยาในช่วงที่มีการระบาดของโรค
  • ผู้ที่ดูแลกลุ่มเสี่ยงและไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ควรจะได้รับยาในช่วงที่มีการระบาดของโรค
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดี เช่น โรคเอดส์
  • กลุ่มคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกัน

ฮาวาย เกาะแห่งสรวงสวรรค์

มลรัฐฮาวาย หรือเกาะฮาวายดินแดนในฝันที่ใครๆต่างใฝ่ฝัน ฮาวายได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคู่รักที่ต้องการบรรยากาศที่แสนโรแมติคในการฉลองการแต่งงาน และนอกจากนี้ยังมีนักท่องเที่ยวอีกจำนวนมากที่หลงๆไหลในความงามของหาดทรายท้องทะเลอันสวยงาม ฮาวายจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่ที่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมากค่ะ

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ

      โคนา เมืองหลวงของเกาะฮาวาย (THE BIG ISLAND) เกาะที่ใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะฮาวาย ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมดั้งเดิมของฮาวาย เป็นเกาะที่มีความหลากหลายและตรงกันข้ามกันอย่างมากที่สุด

      พระราชวังอิโอลานี พระราชวังของกษัติรย์ผู้ครองเกาะฮาวายในสมัยก่อนและเป็นพระราชวังเพียงแห่งเดียวที่มีอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ชม อนุสาวรีย์พระเจ้าคาเมฮาเมฮา กษัติรย์ผู้รวบรวมชนเผ่าต่าง ๆ ในหมู่เกาะฮาวายให้เป็นหนึ่งเดียวกัน

      พันช์โบล์ว สุสานของเหล่าทหารอเมริกันที่พลีชีพในสงคราม ต่าง ๆ รวมถึงนักบินอวกาศชมความงดงาม

      หาดไวกิกิ หาดทรายขาวยาวเหยียดบนฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ชายหาดที่มีชื่อเสียงที่คนทั่วโลกต่างฝันจะมาเยือน

      หน้าผาพาลี ชมวิวทิวทัศน์อันธรรรมชาติอันสวยงามของฮาวาย มีลมพัดแรงตลอดทั้งปีเป็นที่มาของตำนานการสู้รบที่สำคัญของกษัตริย์คาเมฮาเมฮา

      อนุสรณ์สถานเรือรบ ยู.เอส.เอส. อริโซน่า หรือ เพิร์ลฮาร์เบอร์ (Pearl Harbour) สมรภูมิเลือดที่นำอเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปัจจุบันเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ และ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเหตุการณ์ขณะที่กองบินของญี่ปุ่นเข้าทำการโจมตี เพิร์ลฮาร์เบอร์ ฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคแปซิฟิค

      เกาะโออาอุ เกาะที่เป็นที่ตั้งของนครฮอนโนลูลู เมืองหลวง ของรัฐฮาวาย

      หาดฮานาอูม่า (HANAUMA BAY) หาดน้ำสวยและใสที่สุดของเกาะโอฮาอู ท่านสามารถเล่นน้ำได้ อย่างปลอดภัย มีความสุขกับการเห็นฝูงปลาทะเลต่างๆเวียนว่าย อยู่ใกล้ตัวท่าน ปัจจุบันหาดฮานาอูม่าเป็นแหล่งพักผ่อนเล่นน้ำ ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของฮอนโนลูลู

     ตลาดสินค้านานาชาติ (INTERNATIONAL MARKET) ตลาดทันสมัยที่รวบรวมร้านค้าต่าง ๆ มากมาย อาทิ สินค้าที่ระลึก งานศิลป์ท้องถิ่น,ฮาวาย ฯลฯ

     เกาะมาวี เกาะที่ใหญ่เป็นอันดับสอง ของหมู่เกาะฮาวายเป็นเกาะที่นักท่องเที่ยวนิยมมากที่สุด เป็นเกาะที่เกิดจากภูเขาไฟที่ดับแล้ว 2 ลูก

     Whalers Village Museum ซึ่งจะนำท่านย้อนกลับไปสู่ยุคแห่งปลาวาฬ ด้วยโครงกระดูก และชิ้นส่วนหายากที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี

      น้ำตกเรนโบว์ สัมผัสกับละอองน้ำอันชุ่มฉ่ำของสายน้ำที่ตกกระทบก้อนหินเบื้องล่างและยังได้ชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดบนเกาะฮาวาย

|

      อุทยานแห่งชาติ โวคาโน เพื่อชมภูเขาไฟซึ่งครั้งหนึ่งเคยปะทุด้วยเปลวเพลิงร้อนแรงและปล่อยลาวาเดือดพล่านทำลาย ทุกสรรพสิ่งบนเกาะฮาวายมาแล้ว ปัจจุบันได้กลายเป็นพื้นที่สีเขียวขจีให้สิ่งมีชีวิตได้อาศัยอยู่ ระหว่างทางผ่านชมไร่สับปะรดไร่ถั่วแมคคาดีเมีย

       “DIAMOND HEAD” ภูเขาไฟที่มอดดับลงแล้ว ซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างโดดเด่นจากหาดไวกีกิ ผ่านชมอ่าว HANAUMA ที่ขึ้นชื่อในการดำน้ำดูปะการัง และปลาทะเลสีสวยงาม เช่น ปลาการ์ตูน

การเดินทาง

เอกสารประกอบการยื่นขอวีซ่า
หลักฐานการขอวีซ่าอเมริกา (ยื่นด้วยตนเอง)
*** ก่อนทำการยื่นวีซ่าอเมริกา ต้องติดต่อซื้อธนาณัติที่ไปรษณีย์ ***

1. พาสปอร์ต : ต้องมีอายุเหลือใช้งานไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
2. รูปถ่าย : ใช้รูปขนาด 1.5 นิ้ว จำนวน 2 รูป
3. หลักฐานทางการเงิน : ให้นำสมุดฝากประจำ, ออมทรัพย์ตัวจริง หรือ ถ้าฝากบัญชีกระแสรายวัน
ให้นำสเตทเม้นท์ที่ธนาคารส่งไปที่บ้านประจำทุกเดือน ระยะ 6 เดือนย้อนหลัง
(จำนวนเงินคงเหลือควรเป็นเลขหกหลักขึ้นไป)
** บัญชีเงินฝากทุกประเภทต้องมีหนังสือรับรองฐานะทางการเงินจากสำนักงานใหญ่ประกอบด้วย **
4. หลักฐานการทำงาน : * ค้าขาย ให้นำทะเบียนพาณิชย์ หรือหนังสือรับรองหุ้นส่วนที่มีชื่อผู้เดินทาง * พนักงาน ให้นำหนังสือรับรองการทำงานจากนายจ้างว่า ทำงานเมื่อไร, ตำแหน่งอะไร, เงินเดือนเท่าไร, ลาหยุดพักเป็นเวลานานเท่าไร
* นักศึกษา ต้องมีจดหมายรับรองจากสถาบันการศึกษาที่ตนศึกษาอยู่
5. ทะเบียนบ้าน
6. ทะเบียนสมรส
7. หลักทรัพย์ : ถ้ามีโฉนดที่ดินให้นำมาแสดงด้วย

“กุ้ยหลิน” สวรรค์บนพื้นพิภพ”

เมืองหลิ่วโจวยามราตรี

                     “กิน ที่กวางโจว, ใส่ ที่ซูโจว, เที่ยว ที่หางโจว และตาย ที่หลิ่วโจว” 

“น้องผึ้ง”หรือ“พาน หมิง จู” ไกด์สาวผู้น่ารักคล่องแคล่ว นำคำของคนจีนโบราณมาบอกเล่าให้ “ตะลอนเที่ยว”ฟัง ในระหว่างการเดินทางข้ามเขตจากอำเภอซานเจียง ดินแดนชาวต้ง(นำเสนอเรื่องราวของพวกเขาไปในตอนที่แล้ว) มุ่งหน้าสู่เมือง“หลิ่วโจว” เมืองใหญ่อันดับสองของมณฑลกวางสี เป็นเมืองอุตสาหกรรมต่อรถยนต์สำคัญของเมืองจีน


                                                                                                                                    สะพานลมฝนที่สวนมังกรดำ

                  

                           นอกจากนี้ทางการเมืองหลิ่วโจวยังพยายามผลักดันกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวของเมืองนี้ให้คึกคักมากยิ่งขึ้น โดยสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆในตัวเมืองหลิ่วโจวก็มี

วัดขงจื้อ : วัดที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับยอดนักปราชญ์ขงจื้อกับรูปแบบสถาปัตยกรรมจีนอันสง่าใหญ่โต โอ่โถง

สุสานหลิ่วจงหยวน : สุสานของขุนนาง กวี นักเขียน แห่งราชวงศ์ถังที่ชาวเมืองหลิ่วโจวเคารพนับถือ และเชื่อว่าหนึ่งในที่มาของชื่อเมืองหลิ่วโจว น่าจะมาจากชื่อของหลิ่วจงหยวนท่านนี้

สวนมังกรดำ : สวนสาธารณะขนาดใหญ่ มีไฮไลท์อยู่ที่สะพานลมฝน สัญลักษณ์ของชาวต้งที่สร้างทอดผ่าน“สระกระจก” สระน้ำใสสะท้อนเงาอันเด่นชัดของสะพาน ซึ่งเชื่อว่าใครที่มาเดินข้ามสะพานแห่งนี้จะโชคดี เพราะลมฝนแห่งความโชคร้ายจะผ่านพ้นไป


                                                                                                                                           น้ำพุเต้นระบำ       

                     สวนหยีฟง : สวนสาธารณะกลางเมืองมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานอันเพริศแพร้วของ “หลิวซานเจี่ย” วีรสตรีชาวจ้วงผู้เป็นเลิศด้านการร้องเพลง ซึ่งถูกเศรษฐีบังคับให้แต่งงานด้วย แต่เธอไม่ยอมจึงมากระโดดน้ำตายที่สระในสวนแห่งนี้ แต่หลังจากกระโดดน้ำลงไป ได้มีปลาตัวใหญ่มาช่วยหลิวซานเจี่ยให้กลายเป็นนกเหิรบินขึ้นสู่สรวงสวรรค์

พิพิธภัณฑ์หินงาม : ภายในเก็บรักษาฟอสซิล และจัดแสดงหินธรรมชาติที่มีลักษณะเฉพาะ รูปร่างแปลกตา หายาก หินบางก้อนทรงคุณค่าแบบประมาณค่าไม่ได้

นอกจากนี้ยังมีไฮไลท์ที่ทางเมืองหลิ่วโจวภูมิใจนำเสนอ ได้แก่ กิจกรรมการล่องเรือแม่น้ำหลิ่ว(หลิ่วเจียง) ชมทิวทัศน์ของแสงสีไฟยามราตรี ไม่ว่าจะเป็นสะพานต่างๆ ตึกอาคารริมน้ำที่ประดับไฟอย่างสวยงาม น้ำพุเต้นระบำ น้ำตกจำลองริมน้ำยาว 200 เมตร ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างน่าทึ่ง และวัดขงจื้อยามราตรีที่ดูมลังเมลืองสวยงามกว่าในภาคกลางวันเสียอีก

                                                                                                                        ทิวทัศน์ขุนเขาสายน้ำแห่งเมืองหยางซั่ว

                                หลังใช้เวลาครึ่งวัน 1 คืน เพลิดเพลินอยู่ในหลิ่วโจว วันรุ่งขึ้นเราเดินทางต่อไปยังอำเภอหยางซั่ว ในเขตเมืองกุ้ยหลินหยางซั่ว 

น้องผึ้งเล่าให้ฟังว่า หยางซั่ว เดิมเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 650 ปี พอจีนเปิดประเทศในปี ค.ศ.1978 หยางซั่วก็เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวแบ็กแพ็ก จากนั้นหยางซั่วได้พัฒนาเมืองจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวโด่งดังควบคู่ไปกับเมืองกุ้ยหลิน โดยเฉพาะกับกิจกรรมล่องเรือทัศนาแม่น้ำหลี(หลีเจียง)จากกุ้ยหลินสู่หยางซั่วนั้น ถือเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวยอดฮิต เพราะทิวทัศน์สายน้ำขุนเขาในเส้นทางสายนี้ ได้ชื่อว่างดงามนักงดงามปานประหนึ่งแม่น้ำสายสวรรค์ ซึ่ง“ฮั่นหยู” (Hanyu) ปราชญ์สมัยถังได้ร้อยรจนาถึงความประทับใจในระหว่างที่มาล่องแม่น้ำหลีเป็นกวีอมตะบทหนึ่งว่า

“แม่น้ำนี้งดงามราวสายเข็มขัดไหมสีมรกต ส่วนภูผานั่นเล่าเป็นดังจุฑามณีสีหยก”


อย่างไรก็ดีหากใครเดินทางมาหยางซั่วทางถนน(เหมือนกับเราในทริปนี้) ก็สามารถล่องเรือระยะสั้นชม 2 ฟากฝั่งแม่น้ำหลีได้ เพราะทิวทัศน์ขุนเขาและคุ้งน้ำที่ได้ชื่อว่าโดดเด่นที่สุดในเส้นทางล่องแม่น้ำหลีนั้นอยู่ในเมืองหยางซั่วนี่เอง
  
ล่องแพไม้ไผ่ท่องแม่น้ำมังกรหยก

                            นอกจากเส้นทางล่องเรือชมแม่น้ำหลีแล้ว หยางซั่วยังมีเส้นทางล่องแพไม้ไผ่ไปตามแม่น้ำ “มังกรหยก” ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับลำน้ำสายนี้อย่างใกล้ชิดแม่น้ำมังกรหยก ชื่อนี้ “ตะลอนเที่ยว”ได้ยินแล้ว อดคิดถึง ก๊วยเจ๋ง อึ้งย้ง เอี้ยก๊วย เซียวเหล่งนึ่ง ในนวนิยายจีนกำลังภายในสุดคลาสสิคของ “กิมย้ง”ไม่ได้ ซึ่งพอนึกถึงแล้วมันก็พลอยชวนให้เกิดอารมณ์ร่วมที่คลาสสิคตามไปด้วย นับว่าเข้ากันเป็นอย่างดีกับ แม่น้ำมังกรหยกที่เป็นลำน้ำสายเล็กๆ ไหลเอื่อย น้ำใสแจ๋วแหววปานกระจก ใต้น้ำมีสาหร่ายเขียวขจียามต้องแสงแดดทำให้ล้ำน้ำสายนี้ส่องประกายสีเขียวดุจดังมรกต

นกกาน้ำ ผู้ช่วยจับปลาตัวสำคัญของชาวประมงที่หยางซั่ว

                       ขณะที่ 2 ฟากฝั่งนั้นก็น่ายลไปด้วยขุนเขาน้อยใหญ่ที่โอบล้อม วิถีชีวิต บ้านเรือน รวมถึงรูปแบบการจับปลาของชาวประมงแถวนี้ที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยการให้ผู้ช่วยคือนกกาน้ำ คอยกระโดดน้ำลงไปจับปลามาให้ ส่วนชาวประมงนั้นยืนจุ๊ยสบายใจเฉิบอยู่บนแพ โดยไม่ต้องกลัวว่านกกาน้ำจะแอบงับกลืนกินปลาลงท้องไปหรือบินหนีไปไหน เพราะพี่แกเล่นมัดขานกกาน้ำไว้กับแพ และผูกคอนกไว้ไม่ให้สามารถกลืนปลาลงท้องได้      แต่ถึงกระนั้นคุณลุงชาวประมงก็ไม่ได้โหดร้ายใจหินอย่างที่ใครหลายๆคนคิด เพราะเมื่อถึงเวลาพวกเขาจะแก้เชือกผูกคอแล้วโยนปลาให้นกกาน้ำกิน นับเป็นวิธีการหากินแบบพึ่งพาอาศัยกันที่มองยังไงๆมนุษย์ก็ได้กำไรอยู่วันยังค่ำ สำหรับวิถีการหาปลาด้วยนกกาน้ำแบบนี้ปัจจุบันหาของแท้ได้ค่อนข้างยาก ส่วนใหญ่มักจะเป็นการกระทำเพื่อเน้นทางด้านของการท่องเที่ยวมากกว่า

โชว์หลิวซานเจี่ย ฝีมือกำกับของจางอี้โหมวอันโด่งดัง

                        อนึ่งแม้ทิวทัศน์ของขุนเขา สายน้ำ ในเส้นทางสายนี้ จะดูงดงามกินใจ แต่กระนั้นมันก็มีสิ่งชวนให้เสียบรรยากาศกับธุรกิจถ่ายภาพของพ่อค้าแม่ค้า ที่ตั้งจุดดักให้คนถ่อแพ(ที่รู้กัน)แวะไปทุกจุด คนขายบางคนใช้วิธีตื้อแกมบังคับเป็นที่น่าหงุดหงิดรำคาญใจยิ่งนัก ฉะนั้นควรที่จะบอกคนถ่อแพให้ถ่อหนีพวกนี้ไปไกลๆ

นอกจากเส้นทางแห่งสายน้ำที่น่ายลแล้ว ในเมืองหยางซั่วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ถ้ำเงิน ถ้ำดอกบัว ถ้ำผีเสื้อ เขาพระจันทร์ เขาหัวมังกร รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวแมนเมดชื่อดังอย่าง “เมืองลับแล” ที่เป็นการจำลองบรรยากาศของหมู่บ้านจีนโบราณ ที่มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆมานำเสนอให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกัน

ในหยางซั่วยังมีสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวสำคัญอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ การแสดงละครเพลง”หลิวซานเจี่ย” หรือ “Impression Liu Sanjie” กำกับการแสดงโดยจางอี้โหมว ซึ่งจัดแสดงในทุกๆค่ำคืน
หลิวซานเจี่ย เป็นหนึ่งในโชว์ชื่อก้องของเมืองจีน เพราะกำกับการแสดงโดยจางอี้โหมว ผู้กำกับชื่อดังระดับโลกที่ฝากผลงานภาพยนตร์และผลงานกำกับเด่นๆเอาไว้มากมาย ซึ่งแน่นอนว่าชื่อชั้นขั้นเทพระดับนี้ ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน

                                                                                                                                         ถนนฝรั่ง เมืองหยางซั่ว

งานนี้จางอี้โหมวใช้ธรรมชาติเป็นฉากทั้งสายน้ำ ขุนเขา แล้วนำเรื่องราวของภาพยนตร์จีนละครเพลงสุดคลาสสิคเรื่อง”หลิวซานเจี่ย” หรือ “เพลงรักชาวเรือ” มาดัดแปลงใส่เข้าไป เนื้อเรื่อง กล่าวถึงหลิวซานเจี่ย นางเอกนักสู้ สาวงามชาวจ้วงสมัยราชวงศ์ถังที่มีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง(ชาวจ้วงชื่นชอบการร้องเพลงมาก) จนเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆทั่วไป แต่สุดท้ายเธอถูกผู้มีอิทธิพลบีบบังคับให้แต่งงานด้วย ทว่าหลิวซานเจี่ยก็ได้ทำการต่อสู้กับความอยุติธรรมของผู้มีอิทธิพลโดยใช้เสียงเพลงร้องตอบโต้ จนเธอสามารถเอาชนะได้ครองคู่กับคนรักและได้รับการยกย่องให้เป็น”วีรสตรีชาวจ้วง” มาจนถึงทุกวันนี้

การแสดงชุดนี้แม้จะเป็นภาษาจีนล้วนที่เราฟังไม่รู้เรื่อง แต่ด้วยเทคนิคการแสดงอันเหนือชั้นของจางอี้โหมว ที่สามารถเล่นกับ ฉากธรรมชาติ แสง สี เสียงได้อย่างน่าทึ่ง มันสามารถตรึงให้ผู้ชมให้เพลิดเพลินไปกับการแสดงชุดนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น โดยเฉพาะกับตอนช่วงเทคนิคมนุษย์หลอดไฟนั้น มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจเสียนี่กระไร

หลังจบการแสดง ก่อนเข้านอนเราเลือกไปท่องราตรีชมสีสันของ “เวสท์สตรีท“หรือ”ถนนฝรั่ง” ที่ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ทางการท่องเที่ยวประจำเมืองนี้

เวสท์สตรีทย่านเก่าแก่อายุร่วม 100 ปี ที่วันนี้ปรับปรุงเป็นย่านถนนคนเดิน 1 ข้างทางล้วนเต็มไปด้วยร้านรวง แผงลอย ผับ บาร์ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ภาพวาด เซ็กส์ชอป ร้านซีดี ร้านขายของเก่า และร้านค้าอีกสารพัดสารพัน

และด้วยบรรยากาศอุดมไปด้วยกลิ่นอายการช้อปปิ้งแบบนี้ น้องผึ้งเธอบอกว่า ถนนฝรั่งเป็นสถานที่ที่คนไทยชื่นชอบกันมากเป็นพิเศษ

ตัวเมืองกุ้ยหลินยามเย็น

กุ้ยหลิน 

แล้วการเดินทางก็มีถึงช่วงสุดท้ายของทริปเมื่อวันรุ่งขึ้น น้องผึ้งพาชาวคณะออกเดินทางจากหยางซั่วมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองกุ้ยหลิน

กุ้ยหลิน มีฐานะเป็นเมืองใหญ่อันดับสามของเขตปกครองตนเอง“กว่างซี”ของชาวจ้วง หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า มณฑล“กวางสี” และมีตำแหน่งเป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของมณฑล

ในอดีตกุ้ยหลินได้รับการยกย่องให้เป็นดัง “ซื่อไหว้เถ้าหยวน” หรือ “สวรรค์บนพื้นพิภพ”เพราะเป็นดินแดนแห่งขุนเขาและสายน้ำอันงดงาม มีแม่น้ำหลี(หลีเจียง)ที่ใสแจ๋วราวกระจกเป็นเส้นเลือดหลัก มีภูเขาหินปูนรูปร่างแปลกตากว่า 27,000 ยอด เป็นจุดเด่นสำคัญของเมือง

ล่องแม่น้ำหลี กิจกรรมท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองกุ้ยหลิน

               น้องผึ้งบอกกับ “ตะลอนเที่ยว” หลังเดินทางมาถึงเมืองกุ้ยหลินว่า ไฮไลท์การท่องเที่ยวของเมืองนี้ มีอยู่ 5 อย่างด้วยกัน ได้แก่ แม่น้ำ ภูเขา ถ้ำ หินงอกหินย้อย และสวนสาธารณะ 

สำหรับแม่น้ำนั้นก็คือแม่น้ำหลีที่ไหลผ่านใจกลางเมือง ซึ่งคนที่มาเที่ยวเมืองกุ้ยหลินส่วนใหญ่นิยมล่องเรือทัศนาชมทิวทัศน์ของแม่น้ำหลีทั้งระยะสั้น ระยะไกล โดยเส้นทางที่นิยมมากที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นการล่องแม่น้ำหลีจากกุ้ยหลินไปยังเมืองหยางซั่วตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น

                กิจกรรมล่องแม่น้ำยามราตรี
                    นอกจากนี้กุ้ยหลินยังมีกิจกรรมล่องเรือทางน้ำยามราตรี ชมแสงสีไฟประดับ สะพานต่างๆ เจดีย์เงิน-เจดีย์ทอง และสัมผัสกับการเปลี่ยนระดับของเขื่อนที่ถือเป็นไฮไลท์เรียกความตื่นตาตื่นใจได้เป็นอย่างดีส่วนภูเขาแค่เดินทางเข้ามาในเมืองกุ้ยหลินเราก็จะได้พบเห็นขุนเขาน้อยใหญ่มากมายตั้งตระหง่านอยู่ทั่วเมือง ขุนเขาในตัวเมืองเหล่านี้ล้วนต่างเป็นเขาหินปูนที่ถูกธรรมชาติสร้างสรรค์ให้มีรูปร่างแปลกตา
นักท่องเที่ยวเช่าชุดพื้นเมืองบันทึกภาพคู่กับเขางวงช้าง
                    โดยขุนเขาไฮไลท์ที่ถือเป็นดังสัญลักษณ์ของเมืองกุ้ยหลินก็คือ “เขางวงช้าง”(เซี่ยงปี๋ซาน) ที่ในมุมมหาชนจะมีรูปลักษณะคล้ายช้างกำลังยื่นงวงดูดน้ำในแม่น้ำหลี ซึ่งในบริเวณริมฝั่งน้ำของเขาลูกนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเดินเล่น กินลมชมวิว บ้างก็ไปล่องเรือ-ล่องแพไม้ไผ่ท่องลำน้ำหลีในระยะสั้นๆ ส่วนที่นิยมกันมากก็เห็นจะเป็นการไปยืนโพสต์ท่าถ่ายรูปคู่กับเขางวงช้าง บางคนยอมลงทุนเช่าชุดพื้นเมืองชาวจ้วงถ่ายรูปคู่กับขุนเขาเพื่อให้ได้ภาพที่ประทับใจกลับไป
หินรูปสิงโตภายในถ้ำขลุ่ยอ้อ
ขณะที่การเที่ยวชมถ้ำกับหินงอกหินย้อยถือเป็นของคู่กัน สำหรับถ้ำยอดฮิตอันดับหนึ่งในตัวเมืองกุ้ยหลินได้แก่ “ถ้ำขลุ่ยอ้อ”(หลูตี๋เหยียน)
 
วังบาดาลในถ้ำขลุ่ยอ้อ
                 นอกจากขุนเขาและสายน้ำที่งดงามแล้ว กุ้ยหลินยังมีถ้ำอันงดงามอีกมากมายหลายแห่ง สำหรับถ้ำที่ถือเป็นไฮไลท์ของเมืองนี้ ก็คือ“ถ้ำขลุ่ยอ้อ”ที่ในแต่ละวันมีคนไปเที่ยวชมกันเป็นจำนวนมาก

ภายในถ้ำขลุ่ยอ้องดงามปานเนรมิตไปด้วยหินงอกหินย้อยจำนวนมากให้เราได้จินตนาการตามคำบอกเล่าของไกด์นำเที่ยวกันตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็น เสาหิน ผ้าม่าน หินรูปมนุษย์หิมะ ตุ๊กแก เจ้าแม่กวนอิม พระพุทธรูป ตาแป๊ะ ปลาทอง สิงโตรับแขก สิงโตส่งแขก โดยมีไฮไลท์ประจำถ้ำเป็น “วังบาดาล” ที่เป็นวังน้ำมีหินงอกหินย้อย ทอดเงาตกสะท้อนลงในวังน้ำ ซึ่งทางการจีนได้ตกแต่งด้วยการฉายย้อมแสงสีไฟหลากสีส่องประดับลงไปท่ามกลางโถงถ้ำขนาดใหญ่ ดูแล้วงดงามวิจิตรยิ่งนัก

เขารูปอูฐที่สวน 7 ดาว

                                             หันมาดูที่ไฮไลท์สุดท้ายอย่างสวนสาธารณะกันบ้าง กุ้ยหลินมีสวนสาธารณะชื่อดังคือ “สวน 7 ดาว” สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดของเมือง

สวน 7 ดาว มียอดเขา 7 ยอด ภายในมีจุดชวนชมอย่าง เขารูปอูฐ วัด ถ้ำ ป่าศิลาจารึก และสวนสัตว์ ที่ครั้งหนึ่งเคยมี“เหมยเหม่ย” หมีแพนด้าที่อายุยืนที่สุดของจีนเป็นดาวเด่น แต่วันนี้เหมยเหม่ยได้ลาโลกจากไปนานหลายปีแล้ว

นอกจากไฮไลท์ท่องเที่ยว 5 สิ่งของคนจีนตามคำบอกเล่าของน้องผึ้งแล้ว กุ้ยหลินยังมีไฮไลท์ลำกับที่หกสำหรับคนไทยนั่นก็คือ “ถนนคนเดิน” ช้อปปิ้งแหล่งช้อปปิ้งขนาดใหญ่ที่มากมายไปด้วยสินค้าสารพัดสารพันทั้งบนดินและใต้ดิน

อลาสก้า ดินแดนแห่งขั้วโลกเหนือ

วันนี้พาไปเที่ยวอลาสก้า (Alaska) รัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกากัน  รัฐอลาสก้ามีเนื้อที่กว้างใหญ่ และยังเป็นธรรมชาติอยู่มาก  เนื้อที่ส่วนใหญ่ยังไม่มีถนนเข้าถึง  บางที่ต้องนั่งเรือไป บางที่ต้องนั่งเครื่องบินหรือเฮลิคอปเตอร์ไป  ทำให้สัตว์โลกที่หาชมได้ยากสามารถใช้เป็นที่พำนักอาศัยได้อย่างไม่ต้องกลัวการรบกวนจากมนุษย์ผู้บุกรุก

รัฐอลาสก้าเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นรัฐที่ 49 ไม่มีอาณาเขตติดกับรัฐอื่น ๆ อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ สหรัฐอเมริกาซื้อดินแดนที่เป็นรัฐอลาสก้ามาจากประเทศรัสเซียเมื่อวันที่ 30 มีนาคม ค.ศ. 1867

สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอลาสก้าคือยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือชื่อยอดเขาแมกคินลีย์ (Mount McKinley) หรืออีกชื่อว่าดีนาลิ (Denali) สูงถึง 20,320 ฟุตหรือ 6,194 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล  อยู่ในอุทยานแห่งชาติดินาลี (Denali National Park) ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด

สัตว์เจ้าถิ่น หมีกริซลี (grizzly bear) หรือหมีสีน้ำตาล (brown bear) เห็นน่ารักแบบนี้ อยู่ให้ไกลเลยนะครับ ดุร้ายมาก

เมืองหลวงของรัฐอลาสก้ามีชื่อว่าเมืองจูโน (Juneau) เป็นเมืองที่ไม่มีถนนเชื่อมกับเมืองอื่น ๆ จะขับรถไปเมืองนี้ ต้องเอารถใส่เรือบรรทุกไป หรือว่าจะนั่งเรือสำราญล่องไปเรื่อย ๆ ก็ย่อมได้

แต่เมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น ที่สุดคือเมืองแองเคอเรจ (Anchorage) เป็นเมืองท่าสำคัญ มีสนามบินนานาชาติขึ้นลงที่เมืองนี้  มีฉากหลังเป็นภูเขาปกคลุมด้วยหิมะ สวยงามมาก

จากเมืองแองเคอเรจ สามารถขับรถไปเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามเลียบชายฝั่งได้  จะเห็นฟยอร์ดและธารน้ำแข็งสวยงามมากมาย รูปนี้จะเห็นธารน้ำแข็ง (glacier) สามอันเรียงกัน

อุทยานแห่งชาติคีนายฟยอร์ด รถเข้าไม่ถึงครับ ต้องไปทางเรือ ล่อง cruise ไปตามฟยอร์ดสวย ๆ

Portage Glacier อยู่ไม่ไกลนักจากเมืองแองเคอเรจ เห็นธารน้ำแข็งที่ไหลลงน้ำ

ที่อลาสก้ามีธารน้ำแข็งที่เรียกว่าเกลเชียร์มากมาย ที่เห็นนี้คือเกลเชียร์เบย์ (Glacier Bay) เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติขององค์การยูเนสโก้ด้วย

อีกรูปสำหรับธารน้ำแข็งที่อุทยานแห่งชาติแรงเกล-เซนต์อีเลียส (Wrangell-St.Elias National Park and Preserve)

เศรษฐกิจหลักของอลาสก้าได้มาจากการขุดเจาะน้ำมันทางตอนบนที่ติดทะเลอาร์กติก มีท่อลำเลียงน้ำมันมายังท่าเรือทางตอนใต้ของทวีปเพื่อใส่เรือไปยังอีก 48 รัฐ

ท่อลำเลียงนี้พาดผ่านเป็นระยะทางยาวกว่า 1300 กิโลเมตรจากเหนือที่เมือง Prudhoe Bay จรดใต้ที่เมือง Valdez ลองดูรูปจากแผนที่ข้างล่างนะครับ  ไม่รู้รัสเซียจะเสียใจหรือเปล่าที่ขายดินแดนแห่งนี้ในราคาถูก ๆ ให้อเมริกา แล้วมาค้นพบน้ำมันในภายหลัง

เนื่องจากอลาสก้ายังไม่ค่อยมีผู้คนอาศัยนอกจากตามเมืองใหญ่ ๆ  ฉะนั้นธรรมชาติยังอุดมสมบูรณเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด  ทำให้นึกว่าสมัยก่อนที่มนุษย์ยังไม่ได้สร้างบ้านเรือนจนแน่นขนัดเหมือนทุกวันนี้ โลกนี้คงเต็มไปด้วยสัตว์ที่หากินอย่างอิสระ อย่างเจ้ากวางมูส (moose) ตัวนี้ที่หากินตามหนองน้ำ

มาถิ่นขั้วโลกเหนือนึกถึงอะไรครับ นึกถึงซานตาคลอสหรือเปล่า  พาหนะของซานตาคลอสคือกวางเรนเดียร์ หรือที่รู้จักอีกชื่อว่า แคลิบู (Calibou)

กวางแคลิบูชอบอยู่กันเป็นฝูง มีเขาสวยงามมาก 

สัตว์เจ้าถิ่นของอลาสก้าคือหมีกริซลี่ ที่อลาสก้ามีหมีสามชนิดคือหมีดำ หมีน้ำตาลหรือหมีกริซลี่ และหมีขาวหรือหมีโพลาร์

อาหารโปรดของมัีนคือปลาแซลมอน หมีกริซลี่พวกนี้จะไปดักปลาแซลมอนที่กระโดดข้ามแก่งน้ำเพื่อขึ้นไปวางไข่  คงมีปลาแซลมอนจำนวนมาก ถึงเป็นอาหารของหมีบ้างก็คงยังเหลือรอดไปวางไข่อีกเยอะ

พุดถึงขั้วโลกเหนือ คนมักจะนึกถึงหมีขั้วโลกหรือหมีขาว (polar bear)  แต่หมีชนิดนี้จะอาศัยอยู่ทางเหนือสุดของรัฐเท่านั้น เพราะอากาศที่อื่นอุ่นเกินไปสำหรับหมีขั้วโลก

ควายประหลาดใกล้สูญพันธุ์ เหลืออีกไม่กี่ตัวในโลก ชื่อมัสกอกซ์ (muskox)  ที่อลาสก้า ทำฟาร์มให้มันอยู่เพื่ออนุรักษ์ไว้ไม่ให้สูญพันธุ์

ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม และมีนาคม-เมษายน จะเห็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณใกล้แถบขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้  คือปรากฏการณ์แสงออโรร่่า (aurora borealis) หรือแสงเหนือ (northern lights) เป็นแสงมลังเมลืองที่พาดผ่านท้องฟ้าตอนค่ำ  เกิดจากปรากฏการณ์สนามแม่เหล็กโลก  รายละเอียดขอเชิญติดตามได้ที่นี่นะครับ

ปรากฏการณ์แสงเหนือแสงใต้